เนื้อหาวันที่ : 2006-03-14 17:22:53 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2130 views

ปี 49 สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ ตั้งเป้ารุกหนักหวังสร้างผู้ประกอบการ

สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ เร่งเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการภาคเหนือ รุกกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจท้องถิ่นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต หลังประสบความสำเร็จในกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs

 .

สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ เร่งเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการภาคเหนือ ตั้งเป้าปี 49 รุกกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจท้องถิ่นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต  หลังประสบความสำเร็จในกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) จัดหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพัฒนาทคโนโลยีของอุตสาหกรรมในท้องถิ่น และการประยุกต์ใช้งานวิจัยในภาคอุตสาหกรรมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

  .

จากแนวโน้มของ SMEs ที่นับวันมีความสำคัญต่อประเทศยิ่งขึ้น  ขณะที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีบทบาทต่อชีวิตประจำวันมากขึ้นเช่นกัน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการส่งเสริมและผลักดันการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอี โดยไม่ลืมเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการภาคเหนือ โดยเฉพาะเครือข่ายวิสาหกิจท้องถิ่น

  .

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เครือข่ายภาคเหนือ  จึงได้จัดประชุมประจำปีในหัวข้อ บทบาทของ สวทช.ต่อการพัฒนา SMEs & OTOP ในเขตภาคเหนือ ขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิจัย และโครงการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สวทช.ให้การสนับสนุนไปสู่ชุมชนและภาคเอกชนในท้องถิ่น ประสานงานและให้คำปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน และนักวิจัยท้องถิ่นภาคเหนือ และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อการแก้ไขปัญหาท้องถิ่นภาคเหนือของนักวิจัย และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชน  รวมทั้งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่  ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการและนักวิชาการเข้าร่วมงานกว่า 400 คน

  .

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักรินทร์  ภูมิรัตน  ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) กล่าวว่า  เป็นที่ทราบกันดีว่า เอสเอ็มอีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ประมาณ 1.7 ล้านแห่งทั่วประเทศ  โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอยู่กว่า 3 แสนราย  แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดเล็ก ดังนั้น ในการจัดประชุมฯ ครั้งนี้ เพื่อต้องการเห็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ เพื่อที่จะชี้แนะให้เห็นถึงประโยชน์จากการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันนั้นได้อย่างไร  ควรจะมีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาอย่างไร  รวมถึงความจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจากที่ต่างๆ เข้ามาเสริมสร้างความสามารถเพิ่มเติมอย่างไร  และจะต่อยอดความสามารถที่มีอยู่ได้อย่างไร

  .

สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ ได้ดำเนินงานโดยยึดถือนโยบายสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างผู้ประกอบการ และนักวิชาการ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้น โดยคำนึงถึงผลได้ ผลลัพธ์ และผลกระทบสูงสุดต่อท้องถิ่นภาคเหนือ  ซึ่งก็คือการพัฒนาเอสเอ็มอี  และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือ โอท็อป  ตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐ  แต่ทั้งนี้ยอมรับว่า การจะสนับสนุนให้เอสเอ็มอีและโอท็อปพัฒนาไปได้นั้น  มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน   โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาทำให้เกิดนวัตกรรม  ยกระดับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้น  รศ.ดร.ศักรินทร์ กล่าว

  .

ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวอีกว่า  ในการประชุมประจำปี สวทช.เครือข่ายภาคเหนือครั้งนี้ ได้เน้นความสำคัญของการทำเครือข่ายของวิสาหกิจ หรือที่เรียกว่า คลัสเตอร์  ซึ่งผู้ประกอบการและภาคเอกชนถือเป็นตัวจักรสำคัญที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ  โดยกลไกหลักที่ สวทช. นำมาใช้ คือ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย(ITAP)  เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีมีศักยภาพสูงสุด โดยจะเชื่อมโยงเข้ากับศูนย์แห่งชาติทั้ง 4 ศูนย์ ได้แก่ เนคเทค เอ็มเทค นาโนเทค และไบโอเทค ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยที่มีความสามารถ เพื่อจะได้พัฒนางานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อไป

  .

สวทช. เน้นการสร้างพันธมิตรในการทำงาน เน้นการมีส่วนร่วม ที่จะช่วยกันนำพาประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในยุคโลกาภิวัตน์  จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดประชุมฯ ครั้งนี้ จะได้นำความรู้ความสามารถที่พัฒนาร่วมกันมาแล้วทำให้มีความเป็นนวัตกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศมากยิ่งขึ้น  เพื่อที่เราจะได้ก้าวทันยุคโลกาภิวัตน์นี้  รศ.ดร.ศักรินทร์ กล่าวในตอนท้าย

  .

ด้าน ผศ.สุรพงษ์  เลิศทัศนีย์  รักษาการผู้อำนวยการ โครงการเครือข่าย สวทช.ภาคเหนือ กล่าวว่า  สวทช.เครือข่ายภาคเหนือ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2540 ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่ 17  จังหวัดทางภาคเหนือ  มุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาของท้องถิ่นเป็นหลัก และได้ให้บริการด้านต่างๆ หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการในท้องถิ่น  ภายใต้แนวปรัชญาที่ว่า รวมพลังในท้องถิ่น ใช้ทรัพยากรท้องถิ่น  เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ตามความต้องการของท้องถิ่น นอกจากการดำเนินตามภารกิจหลักของ สวทช. ในการประสานงานด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม  การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ภายใต้กลไกของ โครงการ ITAP ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอย่างมาก

  .

สำหรับการดำเนินโครงการ ITAP นั้น ทาง สวทช. เครือข่ายภาคเหนือได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ประกอบการเข้ามาติดต่อทั้งสิ้น 196 ราย  แบ่งเป็นการวิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้น 69 บริษัท และจัดส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปแก้ปัญหาระยะยาว 25 โครงการ   คิดเป็นอัตราส่วนของผู้เชี่ยวชาญในประเทศต่อนอกประเทศ  85 : 15   โดยสัดส่วนของอุตสาหกรรมภาคเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจาก เครือข่าย  ITAP  สวทช. ภาคเหนือ ประกอบด้วย  อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ 43% , อุตสาหกรรมเซรามิกส์ 19 % , อุตสาหกรรมเกษตร 13 % , อุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ 6% , อุตสาหกรรมสิ่งทอ 6% และอื่นๆ อีก 13%  รวมมูลค่าที่ให้การสนับสนุนไปแล้วทั้งสิ้น 3.5 ล้านบาท 

  .

อกจากนี้ สวทช. เครือข่ายภาคเหนือ ยังได้ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่ชุมชนในภาคเหนือมาโดยตลอด และได้มีส่วนในการทำงานร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาต่างๆในเขตภาคเหนือ  ตลอดจนจัดหาทุนวิจัยเพื่อแก้ปัญหาท้องถิ่น  และภายในงานยังได้มีพิธีมอบรางวัลผญาดีศรีล้านนาหรือ ปราชญ์ท้องถิ่น ประจำปี 2548 เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติของผู้คิดค้นหรือต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ให้แก่ นายบุญส่ง ชินะวงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยจาวบ้านลุ่มน้ำแม่วาง  ในสาขาการเกษตร  และนาย ภานทัต อภิชนาธง ในสาขาศิลปวัฒนธรรม  ซึ่งถือเป็นรางวัลที่ สวทช.เครือข่ายภาคเหนือจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว