เนื้อหาวันที่ : 2009-09-07 14:02:54 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1339 views

พาณิชย์ชู 5 แผนส่งออกปี 53 เน้นตลาดอาเซียน

พาณิชย์ เปิดแผนส่งออกปี 2553 ดันสัดส่วนตลาดใหม่เพิ่ม 55% ชู 5 แผนบุกตลาดอาเซียน เตรียมประชุมทูตพาณิชย์ปลายเดือน ก.ย.นี้ ถกเป้าส่งออกปีหน้า

พาณิชย์ เปิดแผนส่งออกปี 2553 ดันสัดส่วนตลาดใหม่เพิ่ม 55% ชู 5 แผนบุกตลาดอาเซียน เตรียมประชุมทูตพาณิชย์ปลายเดือน ก.ย.นี้ ถกเป้าส่งออกปีหน้า

.

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก

.

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า กรมได้จัดทำแผนกระตุ้นการส่งออกสำหรับปี 2553 เสร็จแล้ว ประกอบด้วย 5 กลุ่มแผนงาน ได้แก่ 1. การส่งเสริมตลาดใหม่ ให้มีสัดส่วนส่งออกเพิ่มเป็น 55% ขณะที่ตลาดหลักจะอยู่ที่ 45% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น จากเป้าหมายปีนี้ ที่มีสัดส่วนตลาดใหม่ที่ 50% และตลาดหลักอยู่ที่ 50% โดยตลาดเป้าหมาย ได้แก่ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม)

.

2. การส่งเสริมสินค้ากลุ่มอาหารและสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีจุดแข็ง และเป็นวัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ เป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการต่อเนื่อง ตามความจำเป็นการบริโภคชีวิตประจำวัน

.

3. การพัฒนาเทรด โลจิสติกส์ และส่งเสริมกิจกรรมด้านการพัฒนา เครือข่ายการขนส่งและโลจิสติกส์ เชื่อมโยงระหว่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มเห็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งเป้าหมายการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ เน้นกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง อาทิเช่น ลาว เขมร พม่า และจีน

.

หนุนครีเอทีฟไทยแลนด์-บริการ

4. การส่งเสริมธุรกิจตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มงาน ได้แก่ การพัฒนาตัวสินค้าที่จะเน้นการลงทุนพัฒนาด้านการออกแบบ การสร้างแบรนด์ การออกไปประกอบธุรกิจในต่างประเทศ โดยกำหนดเพิ่มจำนวนธุรกิจที่ไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มี 800 ราย การสร้างแวลูเชน ซึ่งแผนนี้จะสอดคล้องกับการเข้าถึงตลาดใหม่ เนื่องจากพิจารณาแล้วมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจของไทยจะเข้าไปเจาะตลาดได้และมีความยั่งยืน

.

นอกจากนี้ จะเน้นการส่งเสริมธุรกิจบริการ ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะสามารถส่งเสริมธุรกิจบันเทิงได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้า CONTENT อาทิเช่น ภาพยนตร์ไทย แอนิเมชัน เพลงและอื่นๆ จะสามารถดึงให้ธุรกิจบริการอื่นๆ อาทิเช่น สุขภาพ สปา ความงาม และการออกแบบทรงผม ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบการดำเนินการ ยอมรับว่าต้องมีการสร้างเครือข่ายกับต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความเชื่อมโยง และต่อเนื่องกัน

.

เน้นส่งออกตลาดอาเซียน

5.การส่งเสริมการส่งออก ผ่านความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะมีผลให้อาเซียน 10 ประเทศเป็นตลาดเดียวกันในอีก 5-6 ปีข้างหน้า โดยกรมตั้งเป้าหมายการส่งออกไปกลุ่มอาเซียน จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเฉลี่ยปีละ 20% ให้เป็น 25% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตามทิศทางตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่แล้ว

.

แผนการส่งเสริมจะเน้นการสร้างเครือข่าย การผลิตร่วมกันรูปแบบคลัสเตอร์ อาทิเช่น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ที่ไทยมีความเข้มแข็งเรื่องการออกแบบแฟชั่นที่โดดเด่นในกลุ่มอาเซียน มีมาตรฐานการผลิตที่ดี แต่อุตสาหกรรมต้นน้ำบางส่วน อาจอยู่ในประเทศอื่น การใช้เออีซีให้เป็นประโยชน์จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ตามแนวทางนี้ จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรม ให้สามารถแข่งขันนอกกลุ่มความร่วมมือได้ เป็นการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ในการแข่งขัน

.

"ตอนนี้เรามีแผนงานคร่าวๆ ที่จะไว้ใช้ปฏิบัติจริงในปีหน้า ซึ่งแผนนี้จะสอดคล้องกับงบประมาณที่กรมได้รับ จากงบประมาณประจำปี 2553 ประมาณ 2,500 ล้านบาท และงบจากกองทุนส่งเสริมการส่งออก ที่จะประชุมวันนี้ (7 ก.ย.) ที่มีอยู่ 1,000 ล้านบาท" นายราเชนทร์กล่าว

.

เรียกทูตพาณิชย์ถกเป้าปีหน้า

ส่วนการกำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 2553 ขณะนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล กรมกำหนดนำข้อมูลจาก 3 ส่วน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ทั้ง 56 แห่งทั่วโลก การประเมินจากภาคเอกชน และการประเมินจากข้อมูลในส่วนของกรมมาวิเคราะห์ ก่อนกำหนดเป้าหมายการส่งออกคาดว่าทราบผลได้ประมาณ พ.ย.-ธ.ค.นี้

.

นายราเชนทร์ กล่าวว่า ในการประชุมทูตพาณิชย์ปลาย ก.ย.นี้ ที่มีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะมีทูตพาณิชย์ทั่วโลกมานำเสนอเป้าหมายส่งออกปี 2553 ของแต่ละประเทศ พร้อมแผนการทำงาน เบื้องต้นคาดว่าการส่งออกปีหน้า จะกระเตื้องขึ้นจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย หลังจากรัฐบาลหลายประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

.

ด้านปัจจัยเสี่ยงปี 2553 ยอมรับว่ายังต้องจับตาการแข่งขัน ในตลาดต่างประเทศ ที่จะยังคงมีการแข่งขันสูงอยู่ แต่จากผลการปฏิบัติงานในปีนี้ พบว่าการส่งออกของไทยสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น อาทิเช่น สหรัฐ จากเดิมไทยมีส่วนแบ่งตลาด 1.1% เพิ่มเป็น 1.2% ชี้ให้เห็นว่าไทยมีศักยภาพการแข่งขันที่ดี

.

คาดปีนี้ติดลบแค่ 18%

นายราเชนทร์ กล่าวถึง กิจกรรมการส่งออกปี 2553 ว่า ยังจะใช้เทคนิคส่งเสริมการส่งออกแบบเดิมต่อไป เพราะเป็นกิจกรรมที่ยังได้ผลดี อาทิเช่น การจัดงานเมดอินไทยแลนด์ในตลาดใหม่ เป็นกิจกรรมที่ทำให้ตลาดรู้จักสินค้าไทย แต่จะเดินหน้าทำกิจกรรมเสริมอื่นๆ อาทิเช่น ไทยแลนด์เบสเฟรนท์ การติดเครื่องหมายเอสอาร์มาร์ค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าสินค้าไทยที่ได้รับเครื่องหมายนี้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม (ซีเอสอาร์) เป็นการตอบสนองทิศทางตลาดในต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น

.

การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ปีนี้ มีมูลค่าส่งออก 81,115.3 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 23.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกเดือน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น ตลาดส่งออกสำคัญเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย คาดว่า จะมีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละ 13,000 ล้านดอลลาร์

.

ส่วนเป้าหมายทั้งปีนี้ จะผลักดันให้ขยายตัวมากที่สุด และติดลบน้อยที่สุด คาดว่าจะติดลบ 10% ถึงลบ 18% โดยหากรัฐบาลอัดมาตรการช่วยเหลือเต็มที่ อาจติดลบใกล้เคียง 10% ได้ ขณะที่แบงก์ชาติคาดอยู่ที่ ลบ 24.5% ถึงลบ 27.5% สภาพัฒน์ คาดลบ 15% และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดลบ 14.8% ถึงลบ 25.2%

.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
.