รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.ค.52) มียอดรวม 588 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 701 ราย ขณะที่เงินลงทุน 222,300 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเงินลงทุน 234,700 ล้านบาท หรือ ลดลง 5.3% |
. |
ด้านเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 43,500 ล้านบาท ลดลงจาก 48,100 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุนจดทะเบียนต่างชาติลดมาที่ 11,800 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 27,100 ล้านบาท แต่ทุนจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 31,700 ล้านบาท จาก 21,000 ล้านบาท ส่งผลให้การจ้างงานลดลงมาก โดยในช่วงม.ค.-ก.ค.52 เหลือเพียง 49,584 คน จาก 106,628 คน ในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือลดลง 53.5% สำหรับประเทศที่ยื่นขอรับโครงการลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น 132 ราย รองลงมาเป็น ยุโรป, อเมริกา, สิงคโปร์, ไต้หวัน และฮ่องกง |
. |
ประเภทธุรกิจที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค 212 โครงการ รองลงมา คือ ธุรกิจด้านเกษตรกรรมและผลผลิตจากการเกษตร และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่หากพิจารณาจากมูลค่าเงินลงทุนแล้ว พบว่า ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนสูงสุด 159,400 ล้านบาท รองลงมา คือ ธุรกิจด้านเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร และธุรกิจผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง |
. |
ส่วนยอดอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ มีทั้งสิ้น 482 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 666 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 115,300 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 15,300 ล้านบาท |