เนื้อหาวันที่ : 2009-08-05 13:32:03 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 572 views

อุตฯ ชงครม.ไฟเขียวราคาอ้อยขั้นสุดท้ายที่ 672.43 บ.

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้พิจารณาอนุมัติกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายในฤดูการผลิตปี 50/51 เป็นรายเขตเฉลี่ยทั่วประเทศที่ตันอ้อยละ 672.43 บาท ที่ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. อัตราขึ้นลงของราคาอ้อยเท่ากับ 40.35 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และกำหนดผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 50/51 ที่ 288.19 บาท/ตันอ้อย

.

พร้อมทั้งเสนอให้ทบทวนมติ ครม.เมื่อวันที่ 8 ม.ค.51 และ 29 เม.ย.51 เพื่อขอให้ส่งเงินค่าอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 50/51 ส่วนที่สูงเกินกว่าราคาเฉลี่ยทั่วประเทศที่ตันละ 638 บาทให้แก่ชาวไร่อ้อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยให้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายบริหารจัดการไร่อ้อยและดำรงชีพต่อไป จากเดิมที่มติ ครม.กำหนดให้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย         

.

นอกจากนี้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ปฏิบัติงานการเคหะจากเดิมเบิกตามจริงแต่ไม่เกินวันละ 800 บาท เป็น 1,000 บาท ขณะที่กระทรวงมหาดไทยขอปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของการประปานครหลวง(กปน.) ในส่วนของอัตราค่าห้องและค่าอาหารจาก 800 บาท เป็น 1,200 บาท 

.

กระทรวงมหาดไทยเสนอแผนปฏิบัติการและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแผนปฏิบัติการโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้โครงการหลวงและพัฒนาศักยภาพชุมชนพื้นที่สูงระยะเวลา 3 ปี(2553-2555) และกระทรวงแรงงานเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม 

.

ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะรายงาน 3 เรื่องสำคัญให้ครม.รับทราบ คือ แนวทางการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในปี 52 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมอีก 3 แสนล้านบาท เป็นประมาณ 9.27 แสนล้านบาท หลังจากรัฐบาลต้องการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งหลังจากปรับเพิ่มเป้าหมายแล้วจะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเข้าถึงสินเชื่อได้ รวมทั้งช่วยเพิ่มบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 

.

นอกจากนี้ จะรายงานการกำหนดกติกาการชดเชยความเสียหายจากการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลให้กับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อช่วยชดเชยความเสียหายทางบัญชี 

.

และ รายงานเรื่องระเบียบปฏิบัติในการเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งได้มีการวางกรอบให้เกิดความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินงบประมาณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโอนหรือโยกโครงการ ซึ่งจะกำหนดไม่ให้มีการโอนโครงการข้ามกระทรวง แต่สามารถโยกโครงการในหน่วยงานภายใต้กระทรวงเดียวกัน แต่ต้องเสนอให้ ครม.เห็นชอบก่อน คาดว่าจะทางการจะเริ่มประมูลโครงการภายใต้แผนไทยเข้มแข็งตามเป้าหมายราวเดือน ก.ย.-ต.ค.52