เนื้อหาวันที่ : 2009-08-04 14:07:59 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1103 views

ดัชนีอุตสาหกรรมครึ่งปีแรกติดลบ16.5%

สศอ. เชื่อดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมครึ่งปีหลังแนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่ครึ่งปีแรกติดลบ 16.5% คาดทั้งปีลบ 20-22% จี้รัฐบาลเร่งดูแลบาทแข็ง

นายอาทิตย์  วุฒิคะโร  ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)

.

นายอาทิตย์  วุฒิคะโร  ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) คาดการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีหลังจะติดลบน้อยลงกว่าครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบร้อยละ 16.5 ขณะที่ไตรมาส 1 ติดลบร้อยละ 22  ไตรมาส 2  ติดลบร้อยละ  10.7  ส่วนไตรมาส 3  คาดว่าจะติดลบน้อยลงเหลือร้อยละ 5  และเป็นบวกในไตรมาส 4 ที่ร้อยละ 3.7 โดยทั้งปีคาดว่าจะติดลบร้อยละ 8-10  ขณะที่ปี 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมบวกร้อยละ 3.9

.

ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิต ครึ่งแรกปี 2552  อยู่ที่ร้อยละ 53.02  ไตรมาส 1 อยู่ที่ร้อยละ 52.15  ไตรมาส 3  ร้อยละ  54  ไตรมาส  3  มีแนวโน้มดีขึ้นคาดว่าจะอยู่ระดับร้อยละ 56  และเพิ่มเป็นร้อยละ 61.5  ในไตรมาส 4 และทั้งปีเฉลี่ยร้อยละ 56  ขณะที่ปี 2551  อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยร้อยละ 62.62 โดยเดือน ม.ค. 2552 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำสุดที่ร้อยละ 49.9

.

นายอาทิตย์  กล่าวถึงการส่งออกภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีแรก  ติดลบอย่างต่อเนื่อง  โดยไตรมาส 1  ติดลบร้อยละ  18.7  ไตรมาส 2 ติดลบร้อยละ  25.6 ทำให้ครึ่งปีแรกติดลบรวมร้อยละ 22.2  ตลอดทั้งปีประมาณว่าการส่งออกภาคอุตสาหกรรมจะติดลบร้อยละ 20-22  ส่วนการนำเข้าครึ่งปีแรก ติดลบร้อยละ 35.41  โดยการนำเข้าหมวดสินค้าเชื้อเพลิงหดตัวมากที่สุด  ครึ่งปีแรกติดลบร้อยละ 44.90  รองลงมา คือ วัตถุดิบ โดยในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.การนำเข้าติดลบร้อยละ 40.73

.

"การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม แม้จะไม่หวือหวาแต่เป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ขณะที่ภายในประเทศมีมาตรการกระตุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น"

.

อย่างไรก็ตาม  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจครั้งนี้หากเขียนเป็นกราฟจะเป็นรูปตัววีเขียนเล็กซึ่ง มีปลายหางตวัด  เนื่องจากผลกระทบการเมืองและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009  รวมทั้งปัจจัยราคาน้ำมัน  โดยอุตสาหกรรมแบ่งได้ 3 กลุ่ม  คือ กลุ่มดี  ประกอบด้วย  ยา  อาหาร  และเคมีภัณฑ์

.

ปานกลาง  คือ  ยานยนต์  ปูนซีเมนต์  ยาง  เครื่องใช้ไฟฟ้า  พลาสติก  กระดาษ  และสิ่งทอต้นน้ำ  ส่วนกลุ่มที่ไม่ แน่นอน  คือ  เหล็กและเหล็กกล้า  อัญมณี  ปิโตรเคมี  เฟอร์นิเจอร์  รองเท้า  และเซรามิก  ส่วนสัญญาณที่ฟื้นชัดเจนนั้น  ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงการผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรงต่อเวลา  จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

.

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงการพัฒนาประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย  ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เหนือคู่แข่ง  โดยอยากให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพไม่ให้แข็งค่ากว่าคู่แข่งขัน  เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองทางการค้าของไทยให้ดีกว่าปัจจุบัน

.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์