ชีวาทัย เล็งเป้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ใน 5 ปีมุ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ พร้อมเดินหน้าสะสมที่ดินกว่า 300 ไร่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท
บริษัท ชีวาทัย จำกัด เผยเป้าหมายสู่ตลาดหลักทรัพย์ใน 5 ปี เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ นอกจากวางเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง แล้วยังพิจารณาสะสมที่ดิน ทั่วกรุงเทพ และปริมณฑล ทั้งนี้รวมที่ดินที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาอยู่กว่า 300 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท |
. |
โดยที่ดินดังกล่าวร้อยละ 90 เป็นที่ดินอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูง ที่เจ้าของไม่ได้เคยประกาศขาย แต่เป็นการติดต่อซื้อโดยความสัมพันธ์ของ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ฝั่งผู้ถือหุ้นไทย ที่เป็นนักธุรกิจแนวหน้าของประเทศไทย |
. |
โดยที่ดินทุกแปลงนั้นจะผ่านการวิเคราะห์?โอกาสในการพัฒนาสู่อสังหาริมทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่มีคุณภาพสามารถตอบ โจทย์ตลาดเป้าหมายได้ และได้ความคุ้มค่าในการลงทุน เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าตลอดระยะเวลาประมาณ 4 ปี ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์? ชีวาทัย จะสามารถมีที่ดินที่จะพัฒนาโครงการในมือต่อปี กว่า 10 โครงการ และกว่า 20 โครงการ เมื่อเข้าตลาดฯ?แล้ว |
. |
มร. บุญ ชุน เกียรติ กรรมการบริหาร บริษัท ชีวาทัย จำกัด |
. |
มร. บุญ ชุน เกียรติ กรรมการบริหาร บริษัท ชีวาทัย จำกัด เปิดเผยว่า จากแรกเริ่มที่เข้ามา เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดประเทศไทย สิ่งที่น่าจับตามองเพราะเกิดจากการร่วมทุนจากนักธุรกิจตระกูลใหญ่ คุณชาติชาย พานิชชีวะ และบริษัทก่อสร้างมหาชนอันดับต้นๆ ของประเทศสิงคโปร์ |
. |
ผู้บริหารทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมาย ในการบริหารจัดการในทิศทางเดียวกัน คือการมุ่งพัฒนาบริษัทสู่บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายสำคัญ ในตลาดหลักทรัพย์ ในประเทศไทย ที่สามารถพัฒนาโครงการฯ ป้อนสู่ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ มากกว่า 20 โครงการ ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ ชีวาทัยสามารถเดินถึงเป้าหมาย คือการมีที่ดินที่มีศักยภาพในการลงทุนและสามารถตอบโจทย์ ของตลาดในภาวะเวลานั้นๆได้อย่างรวดเร็ว |
. |
โดยในตอนนี้ บริษัทได้พิจารณา ซื้อที่ดินจำนวน กว่า 300 ไร่ ทั้งที่ มาจากการเสนอขายจากคนในแวดวงธุรกิจชั้นนำ ตัวแทนขายที่ดิน และจากการสำรวจที่ดินและติดต่อเสนอซื้อจากบริษัทเอง ซึ่งเม็ดเงินที่จะนำมาซื้อเพื่อสะสมที่ดิน หรือที่เรียกว่า Land Bank นั้น มีมูลค่าการลงทุนช่วงแรก กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งล้วนเป็นเงินที่มาจากทุนสำรองของบริษัททั้งสิ้น |
. |
สำหรับประเภทของ ที่ดินที่ ชีวาทัย ต้องการเพื่อพัฒนาโครงการใน อนาคต แบ่งเป็น 3 ประเภท หลักๆ คือที่ขนาดเล็กในใจกลางเมือง ที่ดินขนาดกลางในเขตพื้นที่แวดล้อมด้วยแหล่งความเจริญหลักๆ ของกรุงเทพฯ และพื้นที่ขนาดใหญ่ ในเขตรอบนอกกรุงเทพฯ ?และปริมณฑล ตั้งแต่ 200 ตารางวา จนถึงจำนวนหลายร้อยไร่ ซึ่งที่ดินที่กำลังพิจารณานั้น ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่ศักยภาพที่ไม่เคยได้เปิดขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น |
. |
โดยที่ดินทั้ง 3 ประเภทนั้น คาดว่าจะได้รับการพัฒนาให้ตรงตามความต้องการของตลาดในตอนนั้น โดยการพิจารณาซื้อที่ดินเราพิจารณาจาก โอกาสในการลงทุน และราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เพราะต้นทุนในการก่อสร้าง ของบริษัทฯ ของทุกโครงการนั้นมีมาตรฐานที่สูง เพราะชีวาทัย ไม่มีนโยบายในการซื้อที่ดินในราคาแพงและลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านอื่นๆ |
. |
นายชาติชาย พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชีวาทัย |
. |
นายชาติชาย พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชีวาทัย กล่าวเสริมว่า ตนเองถือว่ามีธุรกิจที่ต้องบริหาร หลายประเภท อาทิ ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจสิ่งทอ ธุรกิจรถเช่า ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ตนเองจึงเห็นการเติบโตของหลายๆ ธุรกิจที่มีแนวทางในการเติบโต ต่างๆ กัน แต่สิ่งหนึ่ง ที่คาดว่าจะทำให้องค์กร ยั่งยืน คือองค์กรเป็นที่รู้จักของประชาชน บริหารโดยคนหมู่มาก และบริหารงานโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ |
. |
ดังนั้นตนเอง ในฐานะนักลงทุนจึงมีเพียงวิสัยทัศน์ เงินลงทุนและระบบการทำงานให้ แต่ทักษะและความรู้ความสามารถเฉพาะทางนั้น ต้องอาศัยบุคคลภายนอก มาเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกัน |
. |
ซึ่งชีวาทัยเองหวังว่า จะสามารถพัฒนาสู่องค์กรผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์?ที่เป็นแหล่งรวมผู้เชียวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ในทุกๆด้านเข้าด้วยกัน หรือเป็นองค์กรแห่งองค์ความรู้ (Knowledge based organization) ตลอดจนยังเป็นองค์กรที่ทุกคนสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของ ซึ่งนั่นคืออยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตนเองคิดว่านั่นคือเป้าหมายของทุกองค์กรที่ตนเองดู?แล และเป็นมุมมองการบริหารองค์กร ที่มีประสิทธิภาพสูงสูด |