เนื้อหาวันที่ : 2009-05-19 10:55:21 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1329 views

พีดี เฮ้าส์ อัดงบการตลาด 40 ล้านบาท เร่งสร้างแบรนด์ สวนกระแสเศรษฐกิจปี 52

พีดี เฮ้าส์ สวนกระแสเศรษฐกิจด้วยการทุ่มงบ 40 ล้านบาท เดินหน้าปั้นแบรนด์ "ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์" สร้างการจดจำผู้บริโภคในระยะยาว เผยพัฒนาระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านเสร็จ 100%

ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ถดถอยในปี 2552 ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก-กลาง-ใหญ่ที่แข่งขันกันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้าน ต่างหันมาเปิดศึกสงครามราคาชิงยอดขายครึ่งปีแรกกันดุเดือด แฉผู้บริโภครู้ทันผู้ประกอบการแอบปรับราคาขายสูงเกินจริง ก่อนจัดโปรโมชั่นลดราคาบ้านภายหลัง 15-20% หวังดึงดูดลูกค้าสนใจและเร่งปิดการขาย        

.

พีดี เฮ้าส์ สวนกระแสเศรษฐกิจด้วยการทุ่มงบ 40 ล้านบาท เดินหน้าปั้นแบรนด์ "ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์" สร้างการจดจำผู้บริโภคในระยะยาว เผยพัฒนาระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านเสร็จ 100% พร้อมเปิดตัวเดือนพฤษภาคมนี้ หวังลึกๆจะสร้างมาตรฐานใหม่ธุรกิจรับสร้างบ้านให้ชัดเจนในสายตาของผู้บริโภคและวงการสร้างบ้าน มั่นใจสามารถขับเคลื่อนการขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่บริการสร้างบ้านได้ทั่วประเทศภายใน 5 ปี 

.

นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ พีดี เฮ้าส์

.

นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ พีดี เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องตามทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการแข่งขันราคากันรุนแรงยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา เพราะต่างออกมาจุดพลุสงครามราคาในช่วง 3 เดือนเศษที่ผ่านมา

.

เมื่อผู้ประกอบการหันมากระตุ้นตลาดด้วยการกระหน่ำลดราคา ยิ่งเป็นการเพิ่มอุณหภูมิการแข่งขันในธุรกิจรับสร้างบ้านให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 บางรายเลือกใช้วิธีตั้งราคาขายและลดราคาเกินจริง ก่อนจัดโปรโมชั่นลดราคาภายหลัง 15-20% เพราะเชื่อว่าจะดึงดูดความสนใจและปิดการขายได้ง่ายขึ้น แต่ที่จริงแล้วผู้บริโภคไม่ได้ตัดสินใจเพราะโปรโมชั่นล่อใจเท่านั้น   

.

โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่เป็นผลดีและอาจส่งผลให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจผิดว่าบริษัทรับสร้างบ้านคิดกำไรเอาไว้สูง สะท้อนได้จากลูกค้าที่เข้ามาติดต่อจะสร้างบ้านกับบริษัทฯ โดยอ้างถึงส่วนลดราคาขายบ้านดังกล่าวและขอต่อรองกับบริษัทฯในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯไม่สามารถลดราคาให้ได้ตามที่ลูกค้าร้องขอ เพราะตั้งราคาไว้อย่างสมเหตุสมผลและเมื่ออธิบายลูกค้าก็จะเข้าใจดี แต่ก็มีบางรายต้องการส่วนลดราคาบ้านมากๆ นั่นต้องถือว่ามิใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ       

.

"สถานการณ์เช่นนี้มองว่าการแข่งขันราคาเป็นเรื่องปกติของธุรกิจทั่วไป แต่สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านความเชื่อถือของผู้บริโภคนับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ฉะนั้นผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้จะต้องร่วมกันสร้างและรักษาไว้ กลยุทธ์การตั้งราคาสูงเกินจริงและลดราคาลง 15-20% นั้นอาจส่งผลเสียมากกว่าจะเป็นผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในระยะยาว

.

ซึ่งก่อนหน้านี้บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ร่วมมือกัน วางนโยบายและยึดแนวทางตอบสนองความต้องการและสร้างความเชื่อถือของผู้บริโภคเป็นหลัก เพื่อจะนำไปสู่การเติบโตของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านอย่างยั่งยืน พร้อมๆกับวางแนวทางที่จะพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการให้มีมาตรฐาน          

.

ที่ผ่านมาถือว่าทำได้ดีและประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยและการแย่งชิงยอดขายในปัจจุบัน ทำให้นโยบายสวยหรูดังกล่าวกำลังถูกท้าทาย"

.

นายสิทธิพร กล่าวว่าเมื่อทิศทางการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้านในภาวะปัจจุบันเป็นเช่นนี้ บริษัทฯจึงขอเลี่ยงสงความราคาเพราะประเมินว่า "ได้ไม่คุ้มเสียในระยะยาว" แต่จะหันมาลงทุนสร้างแบรนด์ “พีดี เฮ้าส์” แทนโดยปี 2552 นี้ได้ตั้งงบการตลาดไว้ 40 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.งบลงทุนเปิดสาขาใหม่ 10 ล้านบาท (4 สาขา)

.

2.งบปรับปรุงสำนักงานสาขาเดิม 15 ล้านบาท (11 สาขา) 3.งบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 15 ล้านบาท โดยชูคอนเซปต์ "ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์" เพื่อให้บริการสร้างบ้าน 50 จังหวัดทั่วไทย โดยเมื่อเร็วๆนี้ได้เปิดสาขาจังหวัดสระบุรีเป็นสาขาที่ 12         

.

ทั้งนี้การใช้งบลงทุนจำนวน 40 ล้านบาทก็เพื่อต้องการเน้นสร้างการรู้จักและจดจำแบรนด์ พีดี เฮ้าส์ รวมถึงเป็นการสร้างฐานรากของแบรนด์ให้มั่นคง พร้อมๆกับวางตำแหน่งของแบรนด์ให้ชัดเจนในสายตาของลูกค้าและผู้บริโภค ซึ่งไม่ได้หวังผลว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายระยะสั้นหรือในปีนี้ แต่จะเป็นการหวังผลในระยะยาวเมื่อความมั่นใจของผู้บริโภคและเศรษฐกิจเริ่มฟื้น 

.

ปีนี้บริษัทฯมีแผนจะลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขารวมเป็น 15 สาขา และตั้งเป้าจะลงทุนขยายสาขาให้ครบ 50 สาขา ภายใน 5 ปี โดยลักษณะการลงทุนขยายสาขาจะเป็นทั้งแบบลงทุนเอง และขายแฟรนไชส์ "ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์" ให้แก่ผู้สนใจด้วยงบลงทุน 2-2.5 ล้านบาทต่อสาขา 

.

ทั้งนี้ยอมรับว่าการขยายธุรกิจหรือขยายสาขาด้วยแฟรนไชส์ เป็นเรื่องไม่ง่ายและเป็นเรื่องใหม่ของวงการรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดปัจจุบันคงไม่อาจเข้าใจเพราะไม่ได้ศึกษามาก่อน บางรายจึงออกมากล่าวแสดงความเห็นว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงมุมมองหนึ่งในแง่ลบหรืออาจเพราะเป็นห่วงแทนเรา

.

ในขณะที่บริษัทฯทำการศึกษาปัญหามาก่อนจะออกแบบโมเดลธุรกิจและระบบงานไว้อย่างรัดกุม รวมทั้งมีมุมมองในแง่บวกและเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกหนึ่งแนวทาง สำหรับการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการที่อยู่ร่วมในอาชีพเดียวกันให้มีมาตรฐานสูงขึ้น "งานนี้ยอมรับว่าเป็นงานหินแต่ถือเป็นความท้าทาย" นายสิทธิพร กล่าวสรุป