บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เดินหน้าลงทุนโครงการต่าง ๆ ตามแผน ทั้งโรงงานโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องรวมทั้งโรงงานไบโอดีเซล คาดเม็ดเงินลงทุนรวม 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยันไม่ขัดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่หวั่นช่วงวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมี
สำนักข่าวไทยรายงานข่าวบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เดินหน้าลงทุนโครงการต่าง ๆ ตามแผน ทั้งโรงงานโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องรวมทั้งโรงงานไบโอดีเซล โดยคาดใน 4-5 ปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนรวม 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยืนยันไม่ขัดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมมั่นใจรายได้ของบริษัทจะเป็นไปตามประมาณการ 70,000 ล้านบาทต่อปี โดยไม่หวั่นช่วงวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมี |
. |
นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.เคมิคอล กล่าวว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนตามที่ประกาศไว้ ทั้งโรงงานโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมทั้งโรงงานไบโอดีเซลที่คาดว่าใน 4-5 ปีนี้ จะต้องมีเม็ดเงินลงทุนรวม 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโครงการลงทุนของบริษัทไม่ขัดต่อหลักการเศรษฐกิจพอเพียงแต่อย่างใด เพราะการลงทุนได้ดูถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งดูแล้วไม่มีปัญหา เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเพียง 0.2 ต่อ 1 เท่านั้น |
. |
และคาดว่าเมื่อมีการลงทุน สัดส่วนหนี้ต่อทุนจะอยู่ประมาณ 0.2-0.5 ต่อ 1 ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี จึงมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องหนี้และสามารถชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน โดยเม็ดเงินลงทุนดังกล่าว ประกอบด้วย เงินทุนหรือรายได้ของบริษัท การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เงินเพิ่มทุนของผู้ร่วมทุนก่อนหน้านี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ปตท.ที่เพิ่มทุนเข้ามาแล้ว 28,000 ล้านบาท และบริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้อีกประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกประมาณครึ่งหลังปี 2550 สาเหตุที่จะออกในช่วงดังกล่าว เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงกว่าปัจจุบัน จึงถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการออกหุ้นกู้ |
. |
นายอดิเทพ กล่าวว่า หลังจากเพิ่มกำลังการผลิตโอเลฟินส์แล้ว ในปี 2553 ปริมาณกำลังการผลิตเอทิลีนจะมีประมาณ 2.8-2.9 ล้านตัน จากปัจจุบัน 1.5 ล้านตัน และระหว่างนี้จนถึงปี 2550 กำลังการผลิตจะค่อย ๆ เพิ่มจากโครงการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด รวมทั้งจะหาโอกาสทางธุรกิจในการลงทุนปิโตรเคมีขั้นกลางและปลายเพิ่มเติม |
. |
ดังนั้น แม้ว่าในปี 2553 ที่มีหลายฝายคาดว่าจะเป็นช่วงวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมี โดยมีเหตุผลหลักจากปริมาณการผลิตทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศอิหร่าน แต่จากการที่บริษัททำแผนลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด มีกำลังการผลิตเพิ่ม รวมทั้งลงทุนผลิตสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงทำให้บริษัทสามารถมีผลประกอบการที่ดี แม้อยู่ในช่วงวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมีก็ตาม |
. |
นายอดิเทพ ระบุด้วยว่า แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะลดลงและราคาปิโตรเคมีรวมทั้งส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับราคาขายจะลดลงบ้าง แต่บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ของบริษัทจะเป็นไปตามแผนคือ ไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาทและเพื่อเพิ่มมูลค่าดังกล่าว ล่าสุด บริษัทได้ใช้เม็ดเงินประมาณ 45 ล้านบาทให้ 4 สถาบันชั้นนำ ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรีและสถาบันจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมไทย |
. |
ทำโครงการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุนการนำเข้าเกี่ยวกับกิจการด้านปิโตรเคมีและการผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งถือได้ว่านำองค์ความรู้มาต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ของประเทศไทยอย่างยั่งยืน. |