ครม. รับทราบเป้าหมายการส่งออกสินค้าปี 2552 ประมาณร้อยละ 0-3 ธุรกิจบริการ ร้อยละ 10 มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออก
คณะรัฐมนตรีรับทราบเป้าหมายการส่งออกสินค้าปี 2552 ประมาณร้อยละ 0-3 และธุรกิจบริการ ร้อยละ 10 และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ |
. |
โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า เนื่องจากระยะเวลาได้ล่วงเลยมากว่า 3 เดือนแล้ว กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาทบทวนเป้าหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้นรวมทั้งให้เร่งเสนอมาตรการต่าง ๆ ที่สมควรจะดำเนินการไปเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว |
. |
กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนและสมาคมการค้าทุกอุตสาหกรรม เพื่อจัดทำเป้าหมายการส่งออก ปี 2552 และการจัดทำมาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการส่งออกปี 2552 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 ณ ห้องประชุมกระทรวงพาณิชย์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ |
. |
1. เป้าหมายการส่งออกปี 2552 1.1 การส่งออกปี 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 คิดเป็นมูลค่า 177,841.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 1.2 เป้าหมายการส่งออกปี 2552 จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะลดลงมากและอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลง ในปี 2552 ได้แก่ |
. |
(1) ความต้องการในตลาดโลกที่ลดลงตามเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก |
. |
(3) คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรจะใกล้เคียงกับปี 2551 หรือลดลงเล็กน้อย แต่ราคาส่งออกจะลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ ปี 2551 ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงมาก |
. |
1.3 ปัจจัยสนับสนุนให้ช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ซึ่งคาดว่าการส่งออกจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี ได้แก่ (1) เศรษฐกิจของตลาดส่งออกสำคัญโดยเฉพาะตลาดหลักคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ (2) ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและราคาน้ำมันโลกอยู่ในระดับต่ำ |
. |
(3) ผู้ประกอบการไทยได้รับการยอมรับในด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน (4) สินค้าจีนยังประสบปัญหาเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน (5) ผลสำเร็จจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการดำเนินมาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการส่งออก |
. |
2. มาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกในปี 2552 เพื่อผลักดันให้การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งรัด และกระตุ้นการส่งออกในปี 2552 อย่างเต็มที่ โดยมีข้อเสนอดังนี้ |
. |
2.1 ด้านตัวสินค้า |
(1) สนับสนุนด้านนวัตกรรม โดยขอความร่วมมือจากสำนักนวัตกรรมแห่งชาติให้ความรู้แก่กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ |
. |
.(4) ส่งเสริมธุรกิจบริการที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ธุรกิจบริการภายใต้โครงการ "Siam Supreme Service" หรือโครงการ "Triple S" (SSS) โดยจัดให้มีสถาบันเฉพาะของธุรกิจบริการเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์และส่งเสริมธุรกิจบริการ |
. |
2.2 ด้านราคาต้นทุนสินค้าและสภาพคล่อง |
(1) ช่วยเหลือผู้ส่งออกอย่างเร่งด่วนในเรื่องภาษีวัตถุดิบของสินค้าที่นำเข้าเพื่อการส่งออก |
. |
..(3) หาวงเงินช่วยประกันการส่งออก โดยผ่าน Exim Bank โดยจัดตั้งกองทุนประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการชำระเงินจากผู้ซื้อหรือธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ วงเงิน 5,000 ล้านบาท |
. |
..(5) ดูแลและวางแผนเรื่องการตลาดสำหรับสินค้าเกษตรเพื่อหาทางผลักดันเข้าสู่ระบบ (Contract Faming) โดยร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ |
. |
2.3 ด้านการตลาด |
(1) รักษาตลาดเก่าให้เข้มแข็ง โดยภาครัฐช่วยผู้ส่งออกสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วยวิธี CRM (Customer Relation Management) ภายใต้โครงการ Thailand Best Friend |
. |
(3) เร่งขยายการส่งออกไปตลาดใหม่ โดยการจัด Road Show ในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพในโครงการ New Market for Exporter (NME) และการเร่งรัดการนำคณะผู้แทนการค้าไปเจรจาการค้าในตลาดใหม่ตลอดจนเร่งเจรจากรอบการค้า ASEAN SUMMIT + 6 |
. |
2.4 ด้านการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าไทยให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ |
. |
3. เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศประกอบกับการดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกปี 2552 คาดว่าจะสามารถผลักดันให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในปี 2552 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0-3 เป็นมูลค่าประมาณ 177,841-183,177 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธุรกิจบริการ 12 สาขา ที่ได้รับการส่งเสริมจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากมูลค่า 998,628 ล้านบาท เป็น 1,100,000 ล้านบาท |
. |
โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศต่างๆ ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินในประเทศ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและมีค่าอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาเฉลี่ยประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล |