ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 หมื่นล้านบาท วันนี้พิจารณาสัญญากู้ญี่ปุ่นต่อ
ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศเพื่อนำไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จำนวน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้เสนอขอความเห็นชอบตามกรอบรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาด้วยคะแนน 307 ต่อ 36 เสียง หลังจากที่ประชุมฯ ได้อภิปรายเป็นเวลานานกว่า 7 ชั่วโมง นับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวานนี้(24 มี.ค.) |
. |
จากนี้กระทรวงการคลังจะไปเจรจาขอกู้เงินจากธนาคารโลก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ, ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(ไจก้า) 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีระยะเวลากู้ 7-10 ปี |
. |
ทั้งนี้ การเจรจากู้เงินกับธนาคารโลกจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.-มิ.ย.52 แล้วนำร่างสัญญาเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อนเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบอีกครั้ง คาดว่าจะนำเงินกู้มาใช้ได้จริงในเดือน ก.ค.52 ส่วนเอดีบีและไจก้านั้น จะมีการเจรจาในเดือน ก.ค.-ส.ค.52 ก่อนเสนออนุมัติต่อ ครม.และรัฐสภา คาดว่าจะนำเงินกู้จากไจก้าและเอดีบีมาใช้ได้ราวเดือน ก.ย.52 |
. |
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้ชี้แจงเหตุผลการเสนอกรอบการเจรจากู้เงินฯ ว่า แหล่งเงินทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายปี 52 ยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนโครงการลงทุนภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้โครงการลงทุนภาครัฐภายใต้งบประมาณปี 52 มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ไม่เพียงพอต่อการเพิ่มการจ้างงานให้แก่ระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องหาเงินลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสำรองไว้ใช้สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล |
. |
อย่างไรก็ตาม วันนี้เวลา 10.00 น.ประธานรัฐสภาได้นัดประชุมต่อเพื่อพิจารณาร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และร่างสัญญาเงินกู้ ตามที่ ครม.เสนอ โดยร่างหนังสือดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงจะให้กระทรวงการคลังกู้เงิน โดยผ่านไจก้าจำนวน 63,018 ล้านเยน สำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.4% ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 25 ปี รวมระยะปลอดหนี้ 7 ปี |