วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการหดตัวรุนแรง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก สินค้าคงคลังเพิ่มขั้นอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตต้องปรับลดกะชั่วโมงการทำงานและปลดคนงาน หากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ท้ายสุดคือโรงงานขาดทุน เลิกจ้างงานและปิดกิจการลง
วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการหดตัวรุนแรง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตต้องปรับลดกะชั่วโมงการทำงานและ/หรือปลดคนงาน หากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ท้ายสุดคือโรงงานขาดทุน เลิกจ้างแรงงานและปิดกิจการลง ดังนั้น เราควรสนใจและเฝ้าระวังภาคการจ้างงานควบคู่กับการดู GDP ด้วย |
. |
แรงงานที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ (ซึ่งมีแรงงานรวมกัน 2.5 ล้านคน) และภาคบริการ 3 สาขา ได้แก่ โรงแรมและภัตตาคาร ขนส่ง และก่อสร้าง (ซึ่งมีแรงงานรวมกัน 8.3 ล้านคน) |
. |
มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเริ่มมีการลดชั่วโมงการทำงานลงแล้ว โดยมีการลดชั่วโมงการทำงานในกลุ่มแรงงานที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง และระหว่าง 40-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ต่างก็ปรับตัวลดลง แต่ไปเพิ่มจำนวนในกลุ่มที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นจำนวนมากถึง 931.9 พันคน |
. |
เมื่อพิจารณาไตรมาส 4 ปี 2551 พบว่าจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 86.0 พันคน หรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.6 ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี2551 เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของไทยและส่งผลกระทบต่อการลดการจ้างงานอย่างชัดเจน |
. |
จากแบบจำลองของ สศค. พบว่าหากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงร้อยละ 1.0 ต่อปี จะส่งผลให้การจ้างงานลดลงจำนวน 555,000 คน ในเชิงนโยบายหากรัฐบาลไม่ต้องการให้คนจำนวนนี้ถูกเลิกจ้าง รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยหดตัวมากนัก |
. |
1. โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 คือ ต้องให้ความสำคัญกับการจ้างงานควบคู่กับ GDP |
เมื่อครั้งวิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2540-2541 หรือที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ส่งผลให้มีคนว่างงานสูงถึง 1.4 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 4.4 ของกำลังแรงงานรวม มาบัดนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ที่มีต้นตอจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า “วิกฤติแฮมเบอเกอร์” และลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ส่งผลให้ห่วงโซ่ด้านอุปทานในทุกประเทศรวมทั้งไทยเผชิญมหันตภัยเดียวกันคือ การส่งออกสินค้าและบริการหดตัวรุนแรง |
. |
การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างมาก สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาคการผลิตต้องปรับลดกะชั่วโมงการทำงานและ/หรือปลดคนงาน ท้ายที่สุดคือโรงงานขาดทุน เลิกจ้างแรงงานและปิดกิจการลง เมื่อแรงงานไม่มีงานทำการบริโภคการลงทุนจะชะลอตัวตามมา อุปมาอุปมัยเหมือนไฟไหม้ฟาง และที่สำคัญไม่รู้ว่าจะดับลงเมื่อใด |
. |
ผู้คนส่วนใหญ่จึงตั้งคำถามว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ลุกลามเข้ามาในเศรษฐกิจไทยจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของไทยมากน้อยเพียงใด จะเทียบเท่ากับวิกฤติเศรษฐกิจไทยในปี 2540-2541 หรือไม่ และแรงงานกลุ่มไหนคือกลุ่มเสี่ยงต่อการลดกะการทำงานและหรือปลดออกจากงานมากที่สุด |
. |
ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2552 จะหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี เทียบกับปี 2551 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อปี โดยในไตรมาส 4 ปี 2551 หดตัวถึงร้อยละ -4.3 ต่อปี และเป็นการหดตัวในภาคอุตสาหกรรมและบริการถึงร้อยละ -6.8 และ -3.7 ต่อปี ตามลำดับ |
. |
ซึ่งสอดรับกับการลดลงของการจ้างงานและการเพิ่มขึ้นของคนว่างงาน แม้ว่าภาคเกษตรจะสามารถดูดซับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอุตสาหกรรมได้ดีระดับหนึ่งก็ตาม ดังนั้น เราควรสนใจและเฝ้าระวังภาคการจ้างงานควบคู่กับการดู GDP ด้วย สศค. จึงได้จัดทำบทวิเคราะห์นี้ขึ้นเพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ไฟไหม้ฟางนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ |
. |
2. จับตาดูสถานการณ์ล่าสุดภาพรวมการจ้างงานของไทยแยกตามภาคการผลิต |
รวมถึงแรงงานกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และการหดตัวลงของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยแรงงานกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออก (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ) รวมทั้งแรงงานในภาคบริการ 3 สาขา (เช่น โรงแรมและภัตตาคาร ขนส่ง และก่อสร้าง) |
. |
ปี 2551 การจ้างงานเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 37 ล้านคน มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 7.0 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อปี เมื่อพิจารณาในภาคอุตสาหกรรมจะพบว่ามีการจ้างงานลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 8 เดือน สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ลงสู่ภาคเศรษฐกิจจริงอย่างชัดเจนแล้วในภาคอุตสาหกรรม |
. |
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยถูกขับเคลื่อนโดยภาคการส่งออกเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลขสัดส่วนการส่งออกและบริการสินค้าที่ร้อยละ 70 ของ Nominal GDP เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกทำให้อุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมแต่ละประเทศลดลง ส่งผลให้ภาคการผลิตต้องลดกำลังการผลิตและกระทบไปยังแรงงานในภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีการจ้างงานที่ 5.7 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.5 ของการจ้างงานรวม พบว่า ในปี 2551 มีการจ้างงานลดลงเฉลี่ยเดือนละ 1.9 แสนคนหรือคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -3.1 ต่อปี |
. |
ทั้งนี้ การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 สาเหตุที่การจ้างงานภาคอุตสาหกรรมหดตัวลง เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัวลงได้ฉุดให้การส่งออกสินค้าของประเทศไทยหดตัวลง มาก จนส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยไปต่างประเทศ และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 หดตัวลงถึงร้อยละ -14.6 และ -9.7 ต่อปี |
. |
นอกจากนี้ อุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอมาก โดยเฉพาะการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงตามปัญหาความไม่สงบทางการเมือง ยังส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าลดลง ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยส่งผลให้ผู้ประกอบการลดกำลังการผลิตและลดจำนวนการจ้างงานลง อุตสาหกรรมสำคัญประกอบด้วย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอเครื่องแต่งกาย ยานยนต์ และเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ |
. |
ทั้ง 4 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกจากประเทศไทยลดลงตามรายได้ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง ซึ่งใน 4 อุตสาหกรรมหลักที่ผลิตเพื่อการส่งออกมีจำนวนแรงงานทั้งสิ้นประมาณ 2.5 ล้านคน |
. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
. |
3. มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเริ่มมีการลดชั่วโมงการทำงานลงแล้ว |
เมื่อพิจารณาในปี 2551 จำนวนการจ้างงานของกลุ่มที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานตั้งแต่ 30-34 และกลุ่มที่ต่ำกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มีจำนวนลดลง 31.7 และ 232.6 พันคน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ในขณะที่การจ้างงานที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานสูงกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไปยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น |
. |
อาจมีสาเหตุจากในช่วงครึ่งปีแรก ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวได้ดี ปริมาณการส่งออกสินค้าและปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวสูงมาก อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับสูงและการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติขยายตัวสูงมาก ทำให้ผู้ประกอบการเร่งทำการผลิต และต้องจ้างงานเพิ่มหรือเพิ่มชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ |
. |
อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2551 การจ้างงานในกลุ่มที่มีจำนวนชั่วโมงการทำงานสูงกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เริ่มมีการปรับตัวลดลง 339.7 พันคน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2551 ลดลง 646.8 และ 620.5 พันคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน |
. |
อาจมีสาเหตุจากการหดตัวของอุปสงค์ในสินค้าและบริการของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ตลอดจนการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม 2551 มีผลให้ผู้ประกอบการตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิตและชั่วโมงการทำงานของแรงงานงานภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการบางกลุ่ม |
. |
เมื่อมีการลดชั่วโมงการทำงาน จำนวนการจ้างงานที่อยู่ในกลุ่มมากกว่า 50 ชั่วโมงและระหว่าง 40-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็ปรับตัวลดลง แต่ไปเพิ่มจำนวนในกลุ่มที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นจำนวนมากถึง 931.9 พันคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวจำนวนการจ้างงานที่มีชั่วโมงน้อยๆ ก็จะเพิ่มขึ้น และหากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น จะมีการปลดลดคนงานประเภทจ้างเหมาออก (Sub-contract) เช่น ในบางกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการ |
. |
4. อัตราการว่างงานในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำ แต่จะสูงขึ้นในปี 2552 |
อัตราการว่างงานในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงาน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบวิกฤติเศรษฐกิจปี 2541 ที่อัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 4.4 ของกำลังแรงงาน แต่คาดว่าในปี2552 อัตราการว่างงานจะเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีการลดชั่วโมงการทำงานลง หากสถานการณ์เลวร้ายลงจะนำไปสู่การปลดคนงาน เลิกจ้างและถ้าคนงานเหล่านั้นไม่สามารถหางานใหม่ทำได้ ก็จะถูกบันทึกเป็นผู้ว่างงาน |
. |
ปี 2551 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ว่างงานจำนวน 5.1 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12.5 พันคน คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า ผู้ว่างงานในภาคอุตสาหกรรมมีการว่างงานเพิ่มขึ้น 8.2 พันคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.5 ต่อปี และภาคค้าส่งค้าปลีกมีการว่างงานเพิ่มขึ้น 10.9 พันคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 25.9 ต่อปี |
. |
อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยและต่างประเทศที่ชะลอตัวลงได้ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมและการค้าขายสินค้าลดลง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตลงและจำเป็นต้องลดการจ้างงานในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป โดยเฉพาะแรงงานรับเหมาช่วง (sub-contract) |
. |
เมื่อพิจารณาไตรมาส 4 ปี 2551 พบว่าจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 86.0 พันคน หรือขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.6 ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของไทยและส่งผลกระทบต่อการลดการจ้างงานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม 2551 มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.0 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.8 ต่อปี และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ |
. |
5. หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงทุกๆ ร้อยละ 1.0 ต่อปี จะทำให้จำนวนการจ้างงานลดลง 555,000 คน |
สำหรับปี 2552 สศค. คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิม ที่เทียบกับปี 2551 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 ต่อปี เนื่องจากปัญหาการหดตัวของเศรษฐกิจโลกทวีความรุนแรงขึ้น การผลิตสินค้าและบริการต้องหยุดชะงักเพราะสินค้าคงคลังมีปริมาณสูงขึ้น อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว การเลิกจ้างงานแรงงานจะสูงขึ้นตามมา |
. |
ประกอบกับอุปสงค์ภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ต้องประเมินผลกระทบว่า หากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง จะกระทบการจ้างงานมากน้อยเพียงใด จากแบบจำลองของ สศค. พบว่า หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 1.0 ต่อปี จะส่งผลให้การจ้างงานของไทยลดลงจำนวน 555,000 คน |
. |
หากรัฐบาลต้องการรักษาระดับการจ้างงานไม่ให้ลดลงมากเกินไป จำเป็นต้องอัดฉีดเม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านรายจ่ายงบประมาณแผ่นดิน และโครงการลงทุน Mega Projects เพื่อให้เกิดการจ้างงานกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อดูแลไม่ให้เศรษฐกิจไทยหดตัวมากนัก และรักษาระดับการจ้างงานไว้ให้ได้ |