ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียงในภาคใต้เป็นหลัก ก็อาจเชื่อได้ว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือในชื่อเต็มว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard : SSB) หรือ เซาท์เทิร์นซีบอร์ด ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536 ภายใต้ แผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศไทย อาจก่อร่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นไปอีก โดยมีเป้าหมายพื้นที่ ที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานเสียงในภาคใต้เป็นหลัก ก็อาจเชื่อได้ว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือในชื่อเต็มว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard : SSB) หรือ เซาท์เทิร์นซีบอร์ด ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536 ภายใต้ แผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศไทย อาจก่อร่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นไปอีก โดยมีเป้าหมายพื้นที่ ที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช |
ล่าสุด ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ |
ขณะที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่งและสองตามลำดับ และมีกรรมการที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้น คือ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นอีกหนึ่งคนที่มาจากภาคใต้ |
โดยเป็นคณะกรรมการที่ต้องทำหน้าที่พิจารณาเสนอแนะนโยบาย แผนงาน โครงการและมาตรการต่อคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และประสานการบริหาร กำกับดูแลการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ในภาพรวมทั้งระบบ รวมทั้งกำกับดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และการพัฒนากิจกรรมต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันกับชุมชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน |
ขณะที่ความเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็เป็นไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2552 ที่ศาลาประชาคม อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล มีชาวบ้านเข้าร่วมกว่า 300 คน มีนายเอนก นาคะบุตร เป็นผู้ดำเนินการประชุม |
ภาพแสดงแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ |
แม้ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ไม่สามารถดำเนินการไปได้จนจบเวที เนื่องจากชาวบ้านแสดงการคัดค้านจนเกิดความวุ่นวาย จนถึงขนาดทำให้นายเอนกต้องประกาศขอยุติการประชุม พร้อมระบุว่าจะสรุปรายงานการประชุมส่งไปยัง กนอ.ว่า ชาวบ้านไม่เอานิคมอุตสาหกรรม แต่ในข้อมูลรายละเอียดโครงการที่มีการนำเสนอในเวทีดังกล่าวกลับพบว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย |
โดยในเวทีครั้งนั้น นายเอนก ได้นำเสนอคู่มือชาวบ้าน เล่มที่ 1 นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) จัดทำโดย กนอ. และทีมงานการสร้างทัศนคติในเชิงบวกต่อการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมและรับทราบความต้องการของประชาชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard : SSB) |
ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอสิชลอยู่ในความรับผิดชอบของ กระทรวงพลังงาน (MINISTRY OF ENERGY) เป็นผู้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่รวม 10,000 ไร่ |
ในพื้นที่ดังกล่าว แบ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมตัวนำการพัฒนา ใช้พื้นที่ 7,100 ไร่ ประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันและถังเก็บ โรงแยกก๊าซ โรงงานปิโตรเคมี โรงงานเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบในพื้นที่ ใช้พื้นที่ 2,700 ไร่ ประกอบด้วย โรงงานผลิตพลังงานทดแทน โรงงานผลิตภัณฑ์ยาง โรงงานแปรรูปประมง/อาหารทะเล และพื้นที่กันชน ล้อมรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใช้พื้นที่ 200 ไร่ |
ทั้งนี้ ความคืบหน้าที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากก่อนหน้านี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามันและสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงท่าเรือฝั่งอ่าวไทย หรือโครงการแลนด์บริดจ์ 3 เส้นทาง คือ สายเดิมระหว่าง ขนอม – กระบี่ ขนอม – พังงา (ทับละมุ) และสายใหม่ระหว่าง สงขลา – สตูล (ท่าเรือน้ำลึกปากบารา) |
ขณะเดียวกันยังเห็นชอบให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ กพต. เพื่อศึกษาหรือปรึกษาหารือพื้นที่ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ |
1.เหล็กต้นน้ำ คือรถยนต์ที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ 4 พื้นที่ทางเลือก คือ อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์/ อ.ประทิว จ.ชุมพร/ อ.ดอนสัก จ.สุราษฏร์ธานี/ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช 2.เกษตรแปรรูป/พืชพลังงาน คือยางพาราและน้ำมันปาล์มที่ จ.กระบี่ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3.ท่องเที่ยว ด้านอันดามันและสมุยที่ จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันและ จ.สุราษฏร์ธานี 4.พลังงานและปิโตรเคมี คือก๊าซอ่าวไทยและท่าเรือน้ำลึก นครศรีธรรมราชและสงขลา – ปัตตานี |
พร้อมอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ 5 ปี 5.8 หมื่นล้านบาท โดยงบประมาณในปี 2552 จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ |
แผนผังท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช |
สำหรับเซาท์เทิร์นซีบอร์ดมีเป้าหมายตามแผนแม่บทอุตสาหกรรมและการท่าเรือภาคใต้ คือ การก่อสร้างเส้นทางเศรษฐกิจใหม่ ถนนหมายเลข 44 กระบี่ – ขนอม ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว การพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม แปรรูปสินค้าเกษตรครบวงจรบนเส้นทางเศรษฐกิจใหม่ การพัฒนาฐานอุตสาหกรรมน้ำมัน – ปิโตรเคมี การพัฒนาท่าเรือน้ำลึก การพัฒนาศูนย์กลางกระจายสินค้าและ LOGISTICS ระดับโลกตอนปลายของสะพานเศรษฐกิจทั้ง 2 ฝั่งทะเล เป็นต้น |
ขณะเดียวกัน ยังจะต้องจัดหาแหล่งน้ำดิบ เพื่อให้เพียงพอใช้ในอุตสาหกรรมและการบริโภคโดยการสร้างอ่างเก็บน้ำกระจายหลายพื้นที่ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำคลองท่าทน อ.สิชล อ่างเก็บน้ำฝาย อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช อ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา และอ่างเก็บน้ำคลองแห้ง อ.เขาพนม จ.กระบี่ |
สำหรับการตั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรม มีลำดับขั้นตอน คือ ศึกษาความเป็นไปได้ โดยการศึกษาความต้องการของประชาชน การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) เสนอให้รัฐบาลพิจารณา กนอ.จัดทำแผนการลงทุน แผนการก่อสร้าง แผนด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพ กนอ. ปรึกษาหารือ รับฟัง ทำประชามติ และให้รัฐบาลและ กนอ.ตัดสินใจ |
โดยคำนึงถึง คือ ข้อพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อพื้นที่สร้างท่าเรือน้ำลึก ปัจจัยด้านวิศวกรรม ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและชุมชนน้อยที่สุด การคมนาคม แหล่งน้ำ ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ ต้นทุน และการยอมรับของชุมชน เป็นต้น |
สำหรับพื้นที่ที่มีการสร้างความเข้าใจและปรึกษาหารือกัน ประกอบด้วยอ.สิชล ได้แก่ ต.เทพราช เสาเภา ทุ่งปรัง(พื้นท่าเรือฯ) และสิชล อ.นาบอน ได้แก่ ต.แก้งแสน(พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม) ทุ่งสง และนาบอน อ.ท่าศาลา ได้แก่ ต.กลาย และสระแก้ว อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี ได้แก่ ต.ท่าเรือ ทรัพย์ทวี บ้านนา และนาใต้ |
โดยผลการพิจารณาการตั้งทั้งพื้นที่ทำท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และพื้นที่ทำอุตสาหกรรมแปรรูป จากความเหมาะสม 3 ด้าน คือ ต้นทุนการพัฒนา ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ผ่านมา พบว่า พื้นที่ทำท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อ.สิชล มีต้นทุนการพัฒนา 85,195 ล้านบาท ผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับมาก อ.ท่าศาลา มีต้นทุนการพัฒนา 58,759 ล้านบาท ไม่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมเลย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียค่อนข้างยอมรับ |
โดยในเอกสารแผนแม่บทอุตสาหกรรมและการท่าเรือภาคใต้ ที่นำเสนอโดยนายเอนก นาคะบุตร ในเวทีเดียวกัน ได้สรุปผลการคัดเลือกพื้นที่ทางเลือกเพื่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมที่เหมาะสมทางด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมตามลำดับ ดังนี้ |
บริเวณบ้านคอเขา ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล ได้ 64.16 คะแนน |
แผนผังนิคมอุตสาหกรรมแปรรูป ต.แก้วแสน อ.นาบอน จ.นครศรีธรรมราช |
ส่วนพื้นที่ทำอุตสาหกรรมแปรรูป อ.นาบอน มีต้นทุนการพัฒนา 5,571 ล้านบาท ไม่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมเลย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับมาก อ.บ้านนาเดิม มีต้นทุนการพัฒนา 9,036 ล้านบาท มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมสูง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ยอมรับ |
โดยในเอกสารคัดย่อรายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 3 โครงการศึกษาการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ที่นำเสนอในเวทีเดียวกัน ระบุพื้นที่ทางเลือกในการตั้งพื้นที่ทำอุตสาหกรรมแปรรูป เฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเท่านั้น โดยระบุว่า |
พื้นที่ทางเลือกที่1 ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล มีพื้นที่ 19,000 ไร่ ห่างจาก อ.เมืองนครศรีธรรมราช 63 กิโลเมตร ห่างจากที่ว่าการ อ.สิชล 1 กิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ ลาดลงทะเลอ่าวไทย ถมดินสูงโดยเฉลี่ย 0.7 เมตร มีท่าเรือ และพื้นที่ประกอบการอุตสาหกรรม บริเวณบ้านคอเขา ต.ทุ่งปรัง |
ทางเลือกที่ 2 บ้านบางสาน ต.กลาย อ.ท่าศาลา พื้นที่ 19,000 ไร่ เป็นที่ราบลุ่ม ถมที่เพิ่มให้สูงกว่าระดับน้ำทะเล 50 เซนติเมตร สร้างแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง 25 กิโลเมตรจาก ต.กลาย – ต.ทุ่งปรัง ใช้งบ 1,200 ล้านบาท มีพื้นที่หลังท่ากว้างกว่า 10,000 ไร่ |
. |
ส่วนทางเลือกที่ 3 ที่ ต.แก้วแสน อ.นาบอน พื้นที่ก่อสร้าง 5,500 ไร่ เป็นที่ราบลุ่มใหญ่ ถมที่สูง 0.70 เมตร ต้องมีการตัดถนนและทางรถไฟสร้างทางรถไฟคู่จากสถานีสุราษฏร์ธานี – บ้านนา 29 กิโลเมตรต้นทุนก่อสร้างถนนและทางรถไฟจากนาบอน- ท่าศาลา 3,720 ล้านบาท หรือจากนาบอน- สิชล 5,650 ล้านบาท ต้นนทุนพัฒนาแหล่งน้ำอีก 2,542 ล้านบาท เป็นต้น |
. |
ในเอกสารชุดเดียวกัน ระบุพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทั้งสองพื้นที่โครงการดังกล่าว ใน 4 อำเภอใน จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ อ.นาบอน ช้างกลาง ท่าศาลา และสิชล รวม 13 ตำบล 155 หมู่บ้าน ประชาชากร 115,840 คน รวม 32,676 ครัวเรือน |
. |
โฉมหน้าของภาคใต้จะเปลี่ยนไปตามนี้หรือไม่ ก็คงอยู่ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายว่าจะร่วมกันให้ความเห็นและกำหนดอนาคตภาคใต้ให้ไปอย่างที่มีการนำเสนอหรือไม่เท่านั้นเอง หรือจะปล่อยให้ซ้ำรอยอย่างมาบตาพุดที่ศาลปกครองระยองมีคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าในน้ำ อากาศมีแต่สารพิษเกินค่ามาตรฐาน |
. |
รัฐลุยเซาท์เทิร์นซีบอร์ด |
ตั้งกรรมการวางกรอบพัฒนาใต้ |
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง |
กรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย (นายถาวร เสนเนียม) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย |
โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นางจุฑามาศ บาระมีชัย) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ 1) พิจารณาเสนอแนะนโยบาย แผนงาน โครงการและมาตรการต่อคณะรัฐมนตรีในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และประสานการบริหาร กำกับดูแลการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ในภาพรวมทั้งระบบ |
2) กำกับดูแล และเร่งรัดการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และการพัฒนากิจกรรมต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันกับชุมชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน |
3) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน เพื่อช่วยเหลือหรือปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม 4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย |
ที่มา : ประชาไทดอทคอม |