รมว.อุตสาหกรรม เผยนักลงทุนญี่ปุ่นขานรับการเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตอบรับเข้าร่วมฟังสัมมนานับพันราย ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรื้อฟื้นความเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอน

"การเดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้จะทำให้นักธุรกิจญี่ปุ่นมีความมั่นใจต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะนายกรัฐมนตรีจะสร้างความเชื่อมั่นว่า วันนี้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และรัฐบาลก็มีนโยบายต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศเหมือนเดิม

รวมทั้งจะนำเสนอนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนมาตรการป้องกันการปิดสนามบิน และการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ รวมทั้งเรื่องที่รัฐบาลจะไม่แก้ไขปรับเปลี่ยนพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าวในทางที่แย่ลง ตรงกันข้ามอาจจะมีการพิจารณาเปิดภาคบริการเพิ่มด้วย" นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะนำคณะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 4-7 ก.พ.นี้ โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การฟื้นความเชื่อมั่นและการขับเคลื่อนประเทศไทยในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว" ซึ่งมีนักธุรกิจญี่ปุ่นตอบรับเข้าร่วมงานเกือบ 1,000 คนแล้ว

ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีหน่วยงานสำคัญๆ เดินทางไปพบปะหารือกับนักธุรกิจญี่ปุ่น ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สถาบันยานยนต์ สถาบันเหล็ก สถาบันอาหาร และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมการส่งออก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีการเชิญตัวแทนจากภาคเอกชนขึ้นบรรยายในเวทีเดียวกันด้วย เช่น นายฟูกูจิโร่ ยามาเบะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จะมาพูดถึงบรรยากาศการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน, นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร นายกสมาคมไทย-ญี่ปุ่น จะพูดเรื่อง การเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของไทยและญี่ปุ่น,

นายยูทากะ คูนิโมโต้ ประธานบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทย พูดถึงประสบการณ์การลงทุนในไทย และโอกาสท่ามกลางวิกฤต ขณะที่ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการบีโอไอ จะนำเสนอนโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่นักธุรกิจญี่ปุ่น และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะนำเสนอเรื่องโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นของไทย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ จะพบปะหารือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท เจเอฟอี และนิปปอนสตีล เพื่อหารือถึงการผลักดันโครงการผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง และพบปะหารือกับบริษัทมิตซุย เทรดดิ้ง เพื่อหารือเรื่องโอกาสของผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งจะเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานของอายิโนะโมะโต๊ะ ซึ่งขณะนี้มีแผนจะขยายการลงทุนด้านอาหารในไทยด้วย

นอกจากนี้ ตนเอง พร้อมด้วยปลัดกระทรวง และเลขาธิการบีโอไอ จะพบปะหารือกับผู้นำของธนาคารญี่ปุ่น ที่เป็นเครือข่ายในการส่งเสริมให้บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย อาทิ ธนาคารยูเอฟเจ ธนาคารซูมิโตโมมิตซุย และธนาคารมิซูโฮ และพบปะหารือกับกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจญี่ปุ่น หรือ เจแปน ไทยแลนด์ บิสิเนส ฟอร์รัม ซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำที่เคยมาทำงานที่ประเทศไทย และกลับไปรวมกลุ่มกันที่ญี่ปุ่นเพื่อช่วยส่งเสริมให้นักธุรกิจญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย

ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2551  การลงทุนจากญี่ปุ่นที่ขอรับการส่งเสริมมีจำนวน 324 โครงการ(40% ของจำนวนโครงการลงทุนของต่างชาติทั้งหมด) และมีมูลค่า 102,994 ล้านบาท(35% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด) โดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์  รองลงมาได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และชิ้นส่วน Hard Disk Drive

สำหรับในเดือน ม.ค.52 การลงทุนจากญี่ปุ่นที่ขอรับส่งเสริมมีจำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 4,424 ล้านบาท  โดยมีโครงการขนาดใหญ่เกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ คือ บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล และบริษัท กระจกไทยอาซาฮี