ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำระบบเปิด ชูแนวคิดโอเพ่นสตอเรจ (Open Storage) วิวัฒนาการแห่งเทคโนโลยีสตอเรจใหม่ล่าสุด บนสถาปัตยกรรมระบบเปิดที่ผนวกระบบซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส หวังปลดล็อกการใช้งานเทคโนโลยียุคเก่า สู่รูปแบบการใช้งานใหม่ที่รองรับการเติบโตของข้อมูลในยุคเว็บ 2.0 พร้อมเผยความคุ้มค่าด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์

ด้วยความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีสตอเรจสู่มาตรฐานระบบเปิด ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ได้นำแนวคิดสถาปัตยกรรมระบบเปิด หลอมรวมเข้ากับเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส พัฒนาสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีสตอเรจยุคใหม่ที่เรียกว่า Open Storage ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ระบบฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ตามความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเทคโนโลยีในระบบเดิมอีกต่อไป

รัมภา มนูญศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การพัฒนาระบบดังกล่าว ถือเป็นวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีล่าสุด ที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบสตอเรจในรูปแบบเดิม ซึ่งเป็นระบบปิด (Proprietary System) ด้วยการเลือกใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ต่างๆ ตามความต้องการเพื่อทำงานร่วมกันในระบบได้อย่างสมบูรณ์"

เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจ ได้รับการออกแบบอยู่บนรากฐานการใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อสิทธิ์การใช้ซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ ซันประเมินว่า เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจ จะเข้ามาช่วยองค์กรต่างๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบได้มากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีสตอเรจยุคเก่า

และเพื่อผลักดันให้โอเพ่นสตอเรจเป็นมาตรฐานและมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ซันได้ริเริ่มโครงการโอเพ่นโซลาริส (OpenSolaris Project) เพื่อนำเสนอชุดซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ซึ่งมีระบบปฏิบัติการซันโอเพ่นโซลาริส เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานสำหรับการใช้งานในระบบสตอเรจยุคใหม่ โดยซันได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาชุมชนซันโอเพ่นสตอเรจ (Sun Open Storage Community) ขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในหลากหลายชุมชนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับโลก

"เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในองค์กรธุรกิจต่อไปในอนาคต โดยคาดว่า ระบบดังกล่าวจะเข้ามามีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ของตลาดสตอเรจทั่วโลกภายในปี 2011 ขณะเดียวกันการขยายตัวของข้อมูลดิจิทัลที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นและสร้างความต้องการในการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจต่อไป" รัมภากล่าว

การก้าวเข้าสู่ยุคเว็บ 2.0 ที่เอื้ออำนวยให้ผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ตสามารถสร้างข้อมูลหลากหลายได้อย่างเสรี นับเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจ จากรายงานการวิจัยแนวโน้มการเติบโตของข้อมูลทั่วโลก บริษัทไอดีซี พบว่า ข้อมูลดิจิทัลจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า โดยในปี 2010 ข้อมูลดิจิทัลทั่วโลกจะมีมากถึง 988 เอ็กซาไบท์ (Exabytes) เพิ่มขึ้นจากปริมาณข้อมูลที่มีเพียง 161 Exabytes ในปี 2006

รัมภา กล่าวต่อไปว่า "การเติบโตของข้อมูลดิจิทัลอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยสูงเช่นนี้ ทำให้มีความต้องการใช้ระบบสตอเรจภายใต้สถาปัตยกรรมใหม่มากขึ้น การใช้เทคโนโลยีในระบบปิดแบบเดิม จึงไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป เนื่องจากการลงทุนต้องใช้งบประมาณสูงในการขยายระบบเพื่อรองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต นอกจากความสามารถในการขยายระบบและลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนแล้ว ด้วยความเป็นระบบเปิดที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส โอเพ่นสตอเรจจึงให้ความยืดหยุ่นกับองค์กรและผู้พัฒนาระบบ ในการพัฒนาเพิ่มเติมระบบซอฟต์แวร์อื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งในยุคเว็บ 2.0"

นอกจากนี้ แนวโน้มการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง หรือ High-performance Computing (HPC) และการควบรวมเซิร์ฟเวอร์ ภายใต้แนวคิด Server Consolidation and Virtualisation เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นสตอเรจ

"สตอเรจสถาปัตยกรรมใหม่ ไม่เพียงเข้ามาช่วยองค์กรธุรกิจ เพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็นมาตรฐานบนระบบเปิด ให้ทำงานเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ได้ หากยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส รวมทั้งลดการใช้พลังงานและการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สภาวะแวดล้อมได้อีกด้วย" มภา กล่าวเสริม