นายโสภณ  พรโชคชัย  ประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินไทย กล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังจะออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยให้ผู้ซื้อบ้านสามารถนำเงินต้นลดหย่อนภาษีได้ 2-3 แสนบาท เป็นการชั่วคราว ว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เป็นเพียงผลด้านจิตวิทยาเพียงเล็กน้อย และน่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการมากกว่าช่วยผู้บริโภค

เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความสนใจที่จะซื้อบ้านใหม่คงไม่มากนัก  ซึ่งตรงกันข้ามกับช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ที่จะมีการซื้อทั้งอยู่อาศันและเก็งกำไร การลดภาษีบ้านใหม่ ก็จะช่วยได้ทั้งระบบ แต่ในขณะนี้เศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น แนวทางที่จะช่วยผู้บริโภคคือ ภาครัฐควรจะเน้นบ้านขนาดเล็ก หรือส่งเสริมการขายบ้านมือสอง ของกรมบังคับคดี

หรือของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ราคาถูกกว่า ร้อยละ 20  วิธีการนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เพราะผู้ซื้อจะต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ หรือปรับปรุงบ้านเดิม และยังช่วยให้เกิดการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน  แก้ปัญหาหนี้เสียที่คงค้างได้ด้วย

"หากรัฐบาลกระตุ้นการซื้อบ้านเก่าได้  เฃ่น ช่วยบังคับใช้กฏหมายให้คนอาศัยอยู่เดิม ออกจากบ้านเก่า ให้ผู้ซื้อใหม่เกิดความสบายใจในการเข้าซื้อบ้านเดิม และเร่งโปรโมทบ้านเก่า แบบนี้จะช่วยผู้บริโภค และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าการซื้อบ้านใหม่"นายโสภณ กล่าว

นายโสภณ มองด้วยว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี ต้องกระตุ้นการลงทุน/การจ้างงาน โดยรัฐควรพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ให้ดี เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขัน  ให้เกิดการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การก่อสร้าง ทางด่วน ทางหลวง ระบบประปา รถไฟฟ้า โดยวิธีการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วงภาวะการเงินของรัฐมีปัญหาก็คือ ให้เอกชนก่อสร้าง แล้วดำเนินการดูแลจัดเก็บสัมปทาน แล้ว 30 ปีก็โอนมาเป็นของรัฐ แต่ภาครัฐต้องดูแลเรื่องค่าบัตรโดยสาร ค่าผ่านทางให้เหมาะสม

จากนี้ ต้องเร่งส่งเสริมให้ต่างชาติลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรม โดยอาจประกาศโปรโมชั่นให้ที่ดินให้ฟรี 10-20 ปี แต่ให้มีการเสียค่าบำรุงเป็นรายเดือน ที่ดินก็อยู่ในประเทศ รายได้ก็เพิ่มและสามารถเพิ่มการจ้างงานได้ด้วย

ทั้งนี้ นายโสภณ มองว่า ปี 52 มูลค่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างใหม่ อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาทลดลงร้อยละ 4-5 โดยมีการสร้างใหม่ 56,000 หน่วย ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 10