เนื้อหาวันที่ : 2009-01-06 16:38:28 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2785 views

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปจบอยู่ที่ใด

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เก่าจำนวนมากถูกเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะ เพื่อรอการนำมาใช้ใหม่ การรีไซเคิล หรือ การกำจัดทิ้ง กระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ของสหรัฐอเมริกา ประมาณว่า 3 ใน 4 ของคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกขายไปแล้วในสหรัฐ จะถูกกองรวมกันอยู่ในโกดังและที่เก็บต่างๆ เมื่อถึงคราวที่ต้องโยนทิ้ง พวกมันจะถูกนำไปฝังกลบหรือไม่ก็เข้าเตาเผาขยะ และเมื่อเร็วๆ นี้ยังมีการส่งออกมาที่เอเชียด้วย

 

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เก่าจำนวนมากถูกเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะ เพื่อรอการนำมาใช้ใหม่ การรีไซเคิล หรือ การกำจัดทิ้ง กระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ของสหรัฐอเมริกา ประมาณว่า 3 ใน 4 ของคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกขายไปแล้วในสหรัฐ จะถูกกองรวมกันอยู่ในโกดังและที่เก็บต่างๆ เมื่อถึงคราวที่ต้องโยนทิ้ง พวกมันจะถูกนำไปฝังกลบหรือไม่ก็เข้าเตาเผาขยะ และเมื่อเร็วๆ นี้ยังมีการส่งออกมาที่เอเชียด้วย
 
ที่ฝังกลบขยะ: จากข้อมูลของกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐ ในพ.ศ. 2543 มากกว่า 4.6 ล้านตันของขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกฝังกลบในสหรัฐ  สารเคมีพิษที่อยู่ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้อาจรั่วไหลลงผืนดิน หรือแพร่เข้าสู่บรรยากาศ ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมบริเวณใกล้เคียง

ประเทศต่างๆ ในยุโรปได้ออกมาตรการห้ามนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปฝังกลบ เนื่องจากมีองค์ประกอบของวัสดุที่เป็นพิษ แต่ในหลายประเทศก็ยังมีการฝังกลบขยะเช่นนั้นต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ในฮ่องกง ประมาณกันว่าร้อยละ 10-20 ของคอมพิวเตอร์ที่ถูกทิ้ง จะถูกนำไปฝังกลบ

เตาเผาขยะ: การเผาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดการแพร่กระจายของโลหะหนักไม่ว่าจะเป็น ตะกั่ว แคดเมียม และ สารปรอท เข้าสู่บรรยากาศ และกลายเป็นเถ้าถ่าน สารปรอทที่แพร่เข้าสู่บรรยากาศจะสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะในตัวปลา ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่เผยแพร่สารปรอทไปสู่คนทั่วไป

ถ้าสินค้าชนิดนั้นมีส่วนประกอบของพลาสติก PVC ก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารไดอ๊อกซินคลอไรด์และสารฟิวแรน สารทนไฟซึ่งทำจากโบรมีนก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารโบรไมเนตไดอ๊อกซินและสารฟิวแรน เมื่อมีการเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนั้น

การนำมาใช้ใหม่: การนำมาใช้ใหม่เป็นวิธีที่ดีเพื่อยืดอายุของสินค้า สินค้าเก่าหลายชิ้นถูกส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา แม้ว่าประโยชน์จากการนำสินค้าเก่ามาใช้ใหม่ยังไม่ชัดเจน แต่การนำสินค้ามือสองมาใช้ก็ทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมาแล้ว เพราะหลังจากใช้งานได้เพียงไม่นานสินค้ามือสองเหล่านี้ก็จะถูกทิ้ง และดูเหมือนประเทศที่นำเข้าต่างก็ไม่มีความสามารถในการจัดการกับขยะอันตรายเหล่านี้ได้

รีไซเคิล: แม้ว่าการรีไซเคิลจะเป็นวิธีที่ดีในการนำวัสดุของสินค้าเก่ามาใช้ใหม่ แต่ในขณะเดียวกันในกระบวนการรีไซเคิลก็อาจทำให้คนงานได้รับอันตรายจากสารเคมีในขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้น รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียง

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การรีไซเคิลสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะมีในโรงงานรีไซเคิลที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเท่านั้น โดยมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ยกตัวอย่างเช่น ในหลายประเทศในสหภาพยุโรป จะไม่มีการรีไซเคิลพลาสติกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อหลีกเลี่ยงการปล่อยสารโบรไมเนต ฟิวแรน และ สารไดอ๊อกซินเข้าสู่บรรยากาศ แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาไม่มีมาตรการควบคุมเช่นนี้ และการแยกขยะเพื่อรีไซเคิลมักทำกันตามแหล่งทิ้งขยะต่างๆ และหลายครั้งจะมีเด็กมาแยกขยะด้วย
 
การส่งออก:  ขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกส่งออกจากประเทศพัฒนาแล้วไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นประจำ และหลายครั้งได้ละเมิดอนุสัญญาบาเซิล จากการตรวจสอบท่าเรือ 18 แห่งในยุโรปเมื่อ พ.ศ. 2548 พบว่า ขยะมากถึงร้อยละ 47 ซึ่งรวมทั้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกส่งออกไปอย่างผิดกฎหมาย ใน พ.ศ. 2546

เฉพาะในอังกฤษ ขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 23,000 เมตริกตันถูกส่งออกอย่างผิดกฎหมายโดยไม่มีการระบุว่าเป็นสินค้าประเภทใด ไปยังตะวันออกไกลไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อัฟริกา และ จีน ในสหรัฐอเมริกา ประมาณกันว่าร้อยละ 50-80 ของขยะที่ถูกรวบรวมเพื่อการรีไซเคิล ก็จะถูกส่งออกไปในลักษณะเดียวกัน แต่การกระทำเช่นนื้ถือว่าถูกกฎหมายเพราะว่าสหรัฐไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาบาเซิล

จีนแผ่นดินใหญ่พยายามจะปกป้องการค้าเช่นนี้ด้วยการออกกฎหมายห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ในพ.ศ. 2543 อย่างไรก็ตามกรีนพีซพบว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่มีการบังคับใช้จริงจัง โดยยังมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกส่งมาถึงเมืองกุ้ยหยู มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์รวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ในจีน

กรีนพีซยังพบว่าในอินเดียมีปัญหาการค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เฉพาะในเมืองเดลีมีคนงาน 25,000 คนที่ทำงานตามแหล่งทิ้งขยะ ซึ่งต้องคัดแยกขยะ 10,000-20,000 ตันต่อปี โดยร้อยละ 25 ของขยะเหล่านี้เป็นคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีแหล่งทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองมีรุต เฟโรซาบัด เชนไน บังกาลอ และ มุมไบ

การค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์นี้พัฒนาขึ้นมาอย่างไร 
ในช่วงทศวรรษ 1990 รัฐบาลของประเทศในสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และบางรัฐในสหรัฐ จัดตั้งระบบ “รีไซเคิล” ขยะอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา แต่หลายประเทศไม่มีศักยภาพมากพอที่จะจัดการกับปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์มากมายที่พวกเขาผลิตขึ้นมา หรือไม่สามารถจัดการกับคุณลักษณะที่เป็นพิษของขยะเหล่านี้ได้

ด้วยเหตุดังกล่าวพวกเขาจึงเริ่มส่งออกปัญหาเหล่านี้ไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งไม่มีกฎหมาย หรือไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งการรีไซเคิลขยะในประเทศกำลังพัฒนายังมีต้นทุนถูกกว่า ต้นทุนการรีไซเคิลกระจกจากจอคอมพิวเตอร์ในสหรัฐ คิดเป็น 0.5 เหรียญต่อน้ำหนัก 1 ปอนด์ เทียบกับ 0.05 เหรียญในประเทศจีน

ความต้องการขยะอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากคนงานในแหล่งทิ้งขยะต่างๆ พบว่าพวกเขาสามารถคัดแยกสารที่มีค่าออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นทองแดง เหล็ก ซิลิกอน นิกเกิล และ ทองคำ ในระหว่างกระบวนการรีไซเคิล ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องจะประกอบด้วยทองแดงร้อยละ 19 และเหล็กร้อยละ 8

ที่มา : กรีนพีซ