เนื้อหาวันที่ : 2008-12-26 13:40:04 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1140 views

อัมมาร์ แนะรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้เงินเร็ว-ไม่เสพติดประชาชน

อัมมาร์ สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ ปี 2552 ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อกระทบส่งออก คาดว่าปีหน้าว่างงานเกือบ 2 ล้านคนที่วิตกกัน นโยบายประชานิยมสร้างเสพติดประชาชนนายกปฏิเสธไม่ได้หรอก

อัมมาร์  สยามวาลา  นักวิชาการเกียรติคุณ  ทีดีอาร์ไอ  ปี  2552  ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจอย่างรุนแรง  ปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อกระทบส่งออก คาดว่าปีหน้าว่างงานเกือบ 2  ล้านคนที่วิตกกัน นโยบายประชานิยมสร้างเสพติดประชาชนนายกปฏิเสธไม่ได้หรอก

.

ในการสัมมนาเรื่อง  "ศักยภาพของสังคมไทยกับวิกฤติโลก" กรณีศึกษาด้านเศรษฐกิจ  สิ่งแวดล้อม และพลังงาน  นายอัมมาร์  สยามวาลา  นักวิชาการเกียรติคุณ  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  (ทีดีอาร์ไอ)  กล่าวว่า  ในปี  2552  ประเทศไทยต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจอย่างรุนแรง 

.

นายอัมมาร์  สยามวาลา 

นักวิชาการเกียรติคุณ  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  (ทีดีอาร์ไอ)

.

เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง  ประกอบกับปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่า  3  ปี  มีผลต่อการขยายตัวการส่งออกลดลง  มีผลกระทบต่อภาคสังคมไทย  ซึ่งรัฐบาลใหม่จะต้องดำเนินนโยบาย  เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว  ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะมีการว่างงานในช่วงไตรมาส 1  จำนวน  880,000  คน ไม่ถึง  2  ล้านคนที่วิตกกัน

.

สำหรับกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะต้องดูแล คือ คนตกงาน  กลุ่ม  2  เกษตรกร  เพราะราคาสินค้าเกษตรปีหน้าจะปรับตัวลดลง หลังจากฟองสบู่ราคาสินค้าเกษตรแตก  จึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เกษตรกรอย่างถูกต้อง ไม่ใช่การใช้นโยบายประกันราคาพืชผล  กลุ่ม  3  ร้านโชห่วย  ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่กลุ่ม 4  ภาคการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบหนัก และกลุ่ม 5  ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

.

นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและถ่องแท้ก่อนที่จะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ  เช่น การลดภาษีให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีลงร้อยละ 5  เพื่อช่วยเอสเอ็มอี  ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้งมากกว่านี้  เพราะปีหน้ามีโอกาสเอสเอ็มอีจะขาดทุน ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีให้รัฐบาล  ดังนั้น การลดภาษีลงร้อยละ 5  จึงไม่ใช่มาตรการตรงจุดที่จะช่วยเหลือเอสเอ็มอี  ควรศึกษาข้อมูลเดิมให้มีความเข้าใจว่าเอสเอ็มอี ต้องการการช่วยเหลือลักษณะใด

.

ส่วนที่หลายคนมองว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนโยบายประชานิยมเหมือนกับรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอัมมาร์ กล่าวว่า ไม่ได้สนใจว่า เป็นนโยบายประชานิยมหรือไม่ แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องมีหลักการ 2 ข้อ คือ 1. จะต้องใช้เงินได้เร็ว ส่งเงินเข้าถึงระบบเศรษฐกิจได้ทัน

.

2. จะต้องเป็นนโยบายที่ถอยหลังหรือยกเลิกได้ ไม่ใช่นโยบายที่หว่านเงินหรือเสพติดจนเกินไป ส่วนเมกะโปรเจกต์ยืนยันว่า ไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการขณะนี้ เพราะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี แต่ควรเน้นโครงการในระยะสั้น เช่น การปรับปรุงโรงเรียน การสนับสนุนการศึกษาต่อของนักเรียน โดยเน้นการอัดฉีดเงินให้เร็วที่สุด

.

ขณะที่รัฐบาลก็ต้องปรับปรุงระบบการออมเพื่อยามชรา รวมทั้งดูแลรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่มีปัญหาขาดทุนว่า จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร และไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะปัจจุบันก็อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่นอยู่แล้ว หากลดภาษีไปแล้วการกลับมาขึ้นใหม่ก็เป็นไปได้ยาก

.

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2552 จะชะลอตัวรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังไม่มีใครสามารถตอบได้  แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ  เพราะหลังจากที่ไทยผ่านวิกฤติปี 2540 ก็มีการสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น แต่จุดที่น่าเป็นห่วง คือ ภาคการส่งออก

.

หลังจากตัวเลขการส่งออกเดือน ต.ค. ขยายตัวลดลงจากร้อยละ 20 เหลือเพียงร้อยละ 5 เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงการชะลอตัวของภาคการส่งออกมากขึ้น ซึ่งปีหน้าเศรษฐกิจ 3 ประเทศหลัก  สหรัฐ  ญ่ปุ่น  และอียู  จะเข้าสู่ภาวะถดถอย  ดังนั้น  ภาคการส่งออกของไทยคงได้รับผลกระทบตามไปด้วย

.

นางอัจนา  ยืนยันว่านโยบายการเงินระยะต่อไปจะเน้นในเรื่องการดูแลอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก หลังจากปัญหาเงินเฟ้อผ่อนคลายลงมาก เพราะการที่เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตเพียงร้อยละ 0-2 ไม่เพียงพอต่อการดูแลคนยากจน แม้อัตราการว่างงานที่ประมาณ 800,000-900,000 คน จะไม่รุนแรงถึงร้อยละ 3.4  ของจีดีพี  เท่ากับปี  2540 ก็ตาม 

.

นอกจากนี้สิ่งที่เป็นห่วง คือ วิกฤติการณ์ทางการเมือง เพราะปัญหาการเมืองยืดเยื้อกว่า  3  ปี และวิกฤติการณ์ทางสังคมที่เกิดความแตกแยกทางความคิดของคนไทย  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

.

"ปีนี้ถือเป็นปีประวัติศาสตร์ เพราะ กนง.ไม่เคยลดอัตราดอกเบี้ยทันทีร้อยละ 1 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐก็ต่ำสุด ที่ร้อยละ 0-0.25" นางอัจนากล่าว

.

ส่วนข้อกังวลภาวะเงินฝืดในปี 2552 เพราะเศรษฐกิจขยายตัวลดลง นางอัจนา กล่าวว่า ขึ้นกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เพราะว่าทางเทคนิค อัตราเงินเฟ้อขึ้นกับราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันลดลง ราคาสินค้าก็ถูกลง ซึ่งจะมีผลให้เงินเฟ้อที่ต่ำอยู่แล้ว ลดลงต่ำไปอีก จนบางไตรมาสอาจจะถึงขั้นติดลบ ซึ่งถือเป็นภาวะเงินฝืดทางเทคนิค แต่ไม่ใช่เกิดจากการที่ประชาชนหยุดการใช้จ่าย เหมือนที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งในภาวะดังกล่าว ธปท.ยืนยันว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย.

.

ที่มา : สำนักข่าวไทย