แหล่งข่าวกระทรวงการคลังกล่าวว่า จะเสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง พิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาน้ำประปา ไฟฟ้า รถเมล์ รถไฟ ฟรีออกไปอีก 1 ปี เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และเดือดร้อนจากภาวะการตกงานที่เกิดขึ้น

สำหรับมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ครม. ชุดเดิมมีมติไปเมื่อเดือนต.ค. ด้วยการลดภาษีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ลง 3.2835 บาท/ลิตร เหลือ 0.0165 บาท/ลิตร จากเดิมที่เก็บ 3.30 บาท/ลิตร

ภาษีน้ำมันดีเซลที่สั่งให้ลดลง 2.295 บาท/ลิตร เหลือ 0.005 บาท/ลิตร จากเดิมอยู่ที่ 2.30 บาท/ ลิตร และภาษีไบโอดีเซล (B5) ที่เคยเก็บภาษี 2.19 บาท/ลิตร เหลือ 0.0048 บาท/ลิตรนั้นจะเสนอให้ยกเลิก เพราะปัจจุบันน้ำมันราคาลดลงและไม่สนับสนุนให้ประชาชนประหยัดพลังงาน "หากยกเลิกการลดภาษีน้ำมันจะทำให้รัฐมีรายได้จากภาษีน้ำมันร่วม 2.8-3 หมื่นล้านบาท/ปี ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะมาชดเชยในส่วนที่ต้องแบกภาระด้านค่าน้ำ ค่าไฟ รถเมล์ และรถไฟ" แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 23 ธ.ค. นี้ จะมีการมอบหมายนโยบายให้กับกระทรวงการคลัง ส่วนจะมีการต่ออายุ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อไทยทุกคน หรือไม่นั้น ต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายก่อนช่วงปีใหม่ ซึ่งทางรัฐบาลมี นโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ถือเป็นเรื่องที่ ท้าทาย แต่รัฐบาลมั่นใจว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้แน่นอน เพราะรัฐบาลเข้าใจปัญหาของผู้ประกอบการและทุกฝ่ายเป็นอย่างดี "ยังมีเครื่องมือที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ต้องให้มีการแถลงนโยบายรัฐบาลระหว่างวันที่ 29-30 ธ.ค. นี้ให้ชัดเจนก่อน" นายกรณ์ กล่าว

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า หากรัฐบาลจะนำนโยบายประชานิยมมาใช้ดูแลเศรษฐกิจ ควรต้องให้นโยบายนั้นมีธรรมาภิบาลด้วย เนื่องจากการนำนโยบายมาใช้ในระยะที่ผ่านมายังมีข้อจำกัด

นายสังศิต กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรตั้งคณะทำงานประเมินผล 6 มาตรการ 6 เดือนฯ เพื่อพิจารณามาตรการที่จำเป็น "ผมเห็นว่าขณะนี้มาตรการที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันไม่มีความจำเป็นต้องขยายเวลาต่อไป" นายสังศิต กล่าว

นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) กล่าวว่า การนำนโยบายประชานิยมมาใช้ ต้องครอบคลุมประชาชนทุกภาคส่วนให้มากขึ้น และเชื่อว่าฐานะการคลังยังมีความยืดหยุ่น และรองรับนโยบายทางการคลังได้

รัฐบาล ที่แล้วได้ออกมาตรการลดค่าน้ำประปาครัวเรือน โดยกำหนดให้ผู้ใช้น้ำใน ที่อยู่อาศัย 0-50 ลบ.ม. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2551 สิ้นสุด 31 ม.ค. 2552 มาตรการนี้รัฐบาลจะต้องใช้งบชดเชยร่วม 3,950 ล้านบาท แยกเป็นการประปาภูมิภาค 2,400 ล้านบาท การประปานครหลวง 1,530 ล้านบาทเศษ

ขณะที่การอนุมัติให้ประชาชนในชนบทที่ใช้น้ำประปาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประปาหมู่บ้านร่วม 709 แห่ง มีผู้ได้ประโยชน์ 6.9 ล้านราย ตั้งแต่เดือนต.ค. 2551-มี.ค. 2552 โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 540 ล้านบาท

สำหรับมาตรการลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80-150 ยูนิต ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) งดคิดค่าไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตรึงค่าเอฟทีงวดเดือนต.ค.-ธ.ค. 2551 คิดเป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ที่มา : โพสต์ทูเดย์