เอ็นที เปิดตัวคลังสินค้าไร้สารคาร์บอนไดออกไซด์เป็นแห่งแรกที่เมืองวีเนนดัล ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยคลังสินค้าแห่งนี้นับว่าเป็นอาคารแห่งแรกในกลุ่มอาคาร สีเขียว ของทีเอ็นที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่มีชื่อว่า Planet Me โดยทีเอ็นทีมีเป้าหมายที่จะลด การปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์จากอาคารทุกแห่งของบริษัท ซึ่งคิดเป็นพื้นที่อสังหาริมทรัพย์รวม ทั้งหมดประมาณ 3,000,000 ตารางเมตรในกว่า 65 ประเทศ

อาคารคลังสินค้าแห่งนี้จะตั้งแยกส่วนกับสำนักงานส่วนอื่นๆที่ตั้งอยู่รายรอบ โดยตัวอาคารถูกออกแบบให้สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้มากที่สุด เพื่อที่จะช่วยลดปริมาณการใช้หลอดไฟภายในตัวอาคาร นอกจากนั้น อาคารแห่งนี้ยังสามารถผลิตพลังงานได้เองด้วยวิธีการทำงานที่ยั่งยืน จากการใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนกว่า 300 แผง เป็นจุดรวมของแสงทำให้แสงเหล่านั้น เปลี่ยนรูปมาเป็นพลังงานเพื่อใช้ดำเนินงานภายในอาคารคลังสินค้า นอกจากนั้น ก็ยังมีระบบการสูบน้ำจากพื้นดินเพื่อทำความร้อนและความเย็นให้กับตัวอาคาร

คลังสินค้าแห่งนี้ได้รับการควบคุมงานออกแบบอย่างใกล้ชิดจากทีมงานบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อว่า โวลเคอร์เวสเซลส์ (VolkerWessels) โดยทีเอ็นทีต้องการที่จะพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เป็นสถานที่ ที่มีปริมาณการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์อย่างสมดุล บริษัท โวลเคอร์เวสเซลส์ จึงมองไปถึงความต้องการของผู้ใช้งานตลอดระยะเวลาการทำงานของคลังสินค้าแห่งนี้ และด้วยความร่วมมือจากทั้ง สองฝ่าย คลังสินค้าแห่งนี้จึงมีหลากหลายโซลูชั่นที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

อาทิเช่น วิธีการเก็บกักน้ำฝนเพื่อนำกลับมาใช้สำหรับการทำความสะอาดชักโครกในห้องน้ำ การเลือกใช้เครื่อง ทำกาแฟที่ใช้พลังงานน้อย และเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ นอกจากนั้น ทางเดินของบริเวณคลังสินค้าแห่งนี้ยังมีการปูด้วยอิฐมือสอง รวมถึงการเลือกใช้ถังขยะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น สำหรับแยกใส่ขยะประเภทกระดาษ และขยะประเภทที่ไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ จึงช่วยลดความจำเป็นในการกำจัดขยะลงได้มากยิ่งขึ้น

การเลือกใช้เทคโนโลยีและวิถีทางเลือกใหม่ๆ ภายในอาคารคลังสินค้าแห่งเดียวนี้ ทำให้ทีเอ็นทีสามารถประหยัดพลังงานลงได้มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับคลังสินค้าโดยทั่วไป ทั้งนี้ บริษัท โวลเคอร์เวสเซลส์ คาดหวังที่จะเห็นผู้ใช้งานอาคารธุรกิจรายอื่นๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการดำเนินงานที่ยั่งยืน และหันมาเลือกใช้โซลูชั่นแบบเดียวกันกับทีเอ็นที โดยคลังสินค้าสีเขียวของทีเอ็นที เริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายไปรษณียภัณฑ์สำหรับเมืองวีเนนดัล และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง

โปรแกรม อาคารสีเขียว ของทีเอ็นทีให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารที่มีอยู่เดิม และการสร้างสำนักงานและคลังสินค้า สีเขียว สำหรับฝ่ายจัดส่งไปรษณีย์และพัสดุ ทีเอ็นทีมีพื้นที่อาคารทั้งหมดมากกว่า 3,000,000 ตารางเมตร กระจายอยู่ในกว่า 65 ประเทศ ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งและลักษณะโครงสร้างของตัวอาคารจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ จึงทำให้ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าอาจจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น สภาพอากาศ ในประเทศอิตาลีก็จะแตกต่างจากในประเทศสวีเดน เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น ทีเอ็นทีจึงต้องปรับตัวไป ตามหลากหลายความแตกต่างของแต่พื้นที่

นอกจากนี้ สำนักงาน สีเขียว แห่งแรกของทีเอ็นที จะถูกสร้างในเมืองฮูฟดอร์พ ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยที่สำนักงานสีเขียวทั้งหมดจะตั้งอยู่ใกล้กับสถานีขนส่งสาธารณะ และพนักงานทุกคนจะสามารถเข้าไปในสำนักงานได้ไม่ว่าจะเป็นพนักงานจากแผนกหรือฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับบ้านพักของพนักงานโดยส่วนใหญ่ จึงช่วยลดการปล่อยสารคาร์บอนจากการเดินทางลงได้ อย่างไรก็ตาม สำนักงานแห่งใหม่ของทีเอ็นทีในเมืองฮูฟดอร์พนี้จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2553

ความมุ่งมั่นตั้งใจในการช่วยลดปัญหาเรื่องสภาวะโลกร้อนของทีเอ็นทีทั้งหมดอยู่ภายใต้โครงการของบริษัทฯ ที่มีชื่อว่า Planet Me โดยเป็นโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินไปทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ภายในพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมดของบริษัท นอกจากนั้น โครงการดังกล่าวยังมีวัตุประสงค์ที่จะกระตุ้นให้พนักงานทีเอ็นทีแต่ละคนมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ จากทั้งที่บ้านและการเดินทางบนท้องถนน

"ที่ทีเอ็นที เราพยายามที่จะทำให้พนักงานของเราได้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน" มร. ฟลิป เวอร์ไวเจน ผู้อำนวยการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของทีเอ็นที (TNT Real Estate) กล่าว "ในฐานะหัวหน้างาน เราเลือกที่จะสร้างตัวอย่างที่ดีโดยการแสดงให้เห็นถึงวิธีการประหยัดพลังงานและตระหนักมากขึ้นถึงผลกระทบของเราต่อสิ่งแวดล้อม เรามีพนักงานจำนวนมากกว่า 140 คน ที่ทำงานอยู่ภายในคลังสินค้าที่เมืองวีเนนดัล

ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้พลังงานน้อยมาก และทีเอ็นทีก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะกระตุ้นให้พนักงานทุกคนของเราเชื่อในคุณค่าและความสำคัญของการตระหนักถึงการใช้พลังงาน ด้วยการนำวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลายเหล่านี้มาใช้ในการทำงานอย่างเต็มที่"