เนื้อหาวันที่ : 2008-10-20 10:28:27 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1221 views

ธปท.ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 51 เป็น 4.3-5.0% , ปี 52 โต 3.8-5.0%

ธปท.เผยแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุด โดยปรับลดเป้าหมาย GDP ปี 51 มาที่ 4.3-5.0 % จากเมื่อเดือนกรฎาคมคาดไว้ที่ 4.8-5.8% ส่วนในปี 52 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.8-5.0% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.3-5.8% จากความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีมากกว่าความเสี่ยงด้านบวก

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับล่าสุด โดยปรับลดเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(GDP)ปี 51 มาที่ 4.3-5.0 % จากเมื่อเดือนกรฎาคมคาดไว้ที่ 4.8-5.8% ส่วนในปี 52 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.8-5.0% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.3-5.8% เนื่องจากความเสี่ยงด้านลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีมากกว่าความเสี่ยงด้านบวก 

.

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 51 ปรับลดมาเป็น 6.0-6.5% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 2.0-2.5% ส่วนในปี 52 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.0-4.0% และ เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.0-3.0% เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ลดลงต่ำกว่าคาด

.

น.ส. ดวงมณี วงศ์ประทีป   ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจลง เพราะแรงส่งจากเศรษฐกิจในไตรมาส 2/51 และไตรมาส 3/51 ชะลอลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนถูกกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการเมือง ประกอบกับ เศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกและการลงทุนของภาคเอกชนบางสาขาด้วย

.

ทั้งนี้ ช่วง 2 เดือนแรกของครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจน มีสัญญาณการชะลอตวของการลงทุนเอกชนบางสาขา ซึ่งส่วนหนึ่งถูกกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวด้วย ขณะที่ความเสี่ยงด้านการเมืองอาจกระทบกับความเชื่อมั่นการลงทุน และการท่องเที่ยว มองว่าไตรมาส 4/51 การส่งออกจะชะลอตัว

.

ส่วนในปีหน้ามองว่าวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐมีโอกาสลุกลามไปยังภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย แม้ว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการเร่งตัวของราคาน้ำมัน แต่ผลดีจากราคาน้ำมันที่ลดลงต่อภาพรวมเศรษฐกิจมีน้อยกว่าผลกระทบทางลบที่เกิดกับการส่งออก

.

ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐอาจจะอยู่ที่ 1202.2 พันล้านบาท โดยลดลงจากประมาณครั้งเดิม 23.2% ขณะที่การลงทุนภาครัฐใช้แค่ 658.7 พันล้านบาท ลดลง 38.4%   

.

ด้านประมาณการอัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยงด้านต่ำมีมากกว่าด้านสูงในช่วงต้นของประมาณการ สอดคล้องกับโอกาสที่เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมัน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ลดลงต่ำกว่าที่คาด แต่ในระยะต่อไปเมื่อเศรษบกิจโลกฟื้นตัว ความเสี่ยงด้านสูงจะมีมากขึ้น

.

ในการปรับประมาณการครั้งนี้ ธปท. ได้ทบทวนข้อสมมติประกอบการคาดการณ์อย่างรอบคอบ พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ ช่วงที่เหลือของปี 51 และทั้งปี 52 จะลดต่ำลง สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าเฉลี่ยทั้งปี 51 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 104.1 ดอลลาร์/บาร์เรล และปี 52 อยู่ที่ 95 ดอลลาร์/บาร์เรล

.

ราคาสินค้าเกษตรปรับต่ำลงตามแนวโน้มอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว และปัญหาด้านอุปทานสินค้าบางประเภทคลี่คลายลง เช่นข้าว ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงในตลาดโลกยังใกล้เคียงปี 51และจะลดลงอีกในปี 52  ส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าปี 51/52 จะปรับลดลงจากผลกระทบของวิกฤติการเงินในสหรัฐที่รุนแรงกว่าที่ประเมิน  นอกจากนี้ดอกเบี้ย Fed Funds ปรับลดลงสอดคล้องกับการเร่งแก้ปัญหาศก.สหรัฐ

.

ค่าเงินในภูมิภาคมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์จากการไหลออกของเงินทุนจากภาวะตลาดสหรัฐที่มีปัญหาสภาพคล่องตึงตัวมาก และเกิดภาวะ Risk Aversion ช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ประเมินว่ารายจ่ายภาครัฐยังอยู่ระดับต่ำ โดยในปีงบประมาณ 2552 เม็ดเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายจริงน้อยลง และรัฐวิสาหกิจจะปรับลดรายจ่ายลงทุนในโครงการที่ไม่มีความชัดเจน