เนื้อหาวันที่ : 2008-10-14 18:17:47 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2073 views

การบริหารงานที่มุ่งเน้นด้านวัตถุและจิตใจไปพร้อมๆ กัน

การบริหารทางโลกมักมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จเป็นหลักที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นหลักคือประโยชน์ของตนเองเป็น จนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป เพราะว่าพอมุ่งเอาความสำเร็จ

.

ทำไมปัจจุบันนี้นักธุรกิจทั่วไปมักจะนิยมอ่านตำราบริหารของฝรั่ง  ในศาสนาพุทธมีหลักคำสอนซึ่งเกี่ยวกับการบริหารงานหรือไม่

.

ความจริงในเรื่องของการบริหารงาน  ตำรับตำราทางโลก  ที่จริงเขาก็ไม่เลวหรอก  เพียงแต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์  ที่ว่าไม่สมบูรณ์มันเป็นอย่างไร  คือการบริหารทางโลกมักมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จเป็นหลั กที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นหลักคือประโยชน์ของตนเองเป็นหลักนั่นเอง  พอมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก  ก็เข้าทำนองที่เราเรียกว่ามุ่งวัตถุเป็นหลัก  จนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป  เพราะว่าพอมุ่งเอาความสำเร็จ 

.

ซึ่งมนุษย์ส่วนมากมุ่งที่ความร่ำรวย  มุ่งที่ความเด่นความดังอีกนั่นแหละ  ส่วนใครจะกระทบอย่างไร  ช่างเถอะ  ขอให้เราได้รวยได้เด่น  ได้ดังเสียก่อน  นี้ก็เป็นแนวทางการบริหารทางโลกในตำรับตำรายุคปัจจุบัน

.

ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทราบดีว่า  มนุษย์จริงๆ  แล้วเกิดมาทำไม  ที่จริงคือเกิดมาสำหรับสร้างบุญสร้างบารมี  เกิดมาเพื่อแก้ไขตังเอง  มีข้อผิดพลาดอยู่อย่างไรติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาแก้เสียให้หมดในชาตินี้   แล้วก็ขณะทำมาหากินนั่นแหละทำให้ต้องบริหารงานอันนั้น  อันนี้อันโน้นขึ้นมา

.

ในระหว่างทำมาหากินอยู่นี่เอง  ก็ถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไป  สร้างความดีสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป พูดง่าย    ในสายตาของพระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อสร้างบารมี   เพื่อสร้างคาวมดี  เพื่อแก้ไขตัวเองเป็นหลัก  ส่านเรื่องความรวย   เรื่องความสำเร็จแบบโลกๆ  อันนั้นเป็นแค่ของแถม  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองโลก  ทรงมองพวกเราอย่างนี้

.

เพราะฉะนั้น   พระองค์จึงทรงมุ่งเน้นให้เราขณะที่บริหารไป  อย่ามุ่งแค่   material   หรืออย่ามองแค่ประโยชน์ตน   ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น   แต่ให้คำนึกถึงประโยชน์ทั้งตนและท่าน  ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจไปพร้อมๆ กันที่เรียกว่าประโยชน์ทางด้านจิตใจก็อย่างที่บอก    คือแก้ไขนิสัยใจคอของตัวเองที่ไม่ดีไปเสีย   บุญกุศลก็เพิ่มพูนให้กับตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

.

เมื่อพระองค์ทรงมองอย่างนี้  มุ่งหวังที่จะให้พวกเราทำอย่างนี้   จึงแนะว่า ลูกเอ๊ย จะทำมาหากินอะไร  จะบริหารงานอย่างไร      เห็นช่องทางจะร่ำรวยในทางที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมละก็  ทำไปเถอะไม่ว่าหรอก  จะบริหารงานส่วนตัว  หรือทำกันเป็นองค์กร   ทำเป็นบริษัทใหญ่ๆ   หรือในระดับประเทศก็ทำไปเถอะ   พระองค์ไม่ตำหนิ    แต่ว่าให้คำนึกว่างานทุกชิ้นได้เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับตัวเอง   เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับเพื่อนร่วมงาน  เพิ่มพูนศีล   เพิ่มพูนธรรมให้กับสังคม     ประเทศชาติ    และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย   นี่คือเป้าใหญ่ใจความของการบริหารงาน   ซึ่งชาวพุทธถูกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

.

เมื่อเราถูกอบรมกันมาอย่างนี้   บางทีเราก็มักละลายที่จะแก้ไขปรับปรุงในเรื่องขั้นตอนทางเทคโนโลยี   หรือไปผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ   มาใช้ในล้าหลังไป   แต่ว่ามีความก้าวหน้าทางด้านจิตใจมากเลย คือทำงานไปด้วย ก็ มีน้ำจิตน้ำใจกันไปด้วยคือในระหว่างนั้นทำทานไป  ก็เพิ่มพูนจิตเมตตาไปให้กับเพื่อนร่วมงาน  ใครตกทุกข์ได้ยาก  ก็มีความกรุณาหอบหิ้วลากจูงกันไป   ที่จะปลดกันง่าย ๆ  ลอยแพกันง่าย    ไม่มี  มีแต่ประคับประคองกันไปให้ถึงที่สุดทีเดียว

.

ยิ่งไปกว่านั้น  ทำงานไปด้วย ก็พยายามที่จะสร้างสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง  ในหมู่คณะ  ทำงานไปก็ได้บุญไป  เดี๋ยวก็ทอดผ้าป่า   เดี๋ยวก็ทอดกฐิน   เดี๋ยวก็ช่วยกันสร้างสาธารณประโยชน์เอาความรวย  เอาความสำเร็จที่ได้นั้นเป็นฐาน ในการสร้างคุณงามความดี  รวยมาเท่าไร  ก็ใช้ไปทำบุญทำทาน  ทำงานหนักเท่าไร  กลายเป็นเพิ่มความเมตตากรุณาแก่กัน    เพิ่มความหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าสมบัติพ้นล้าน   หมื่นล้าน  หรือมหาสมบัติท่วมฟ้าท่วมโลกเสียอีก

.

เพราะฉะนั้น   ขอฝากไว้กับทุกคนว่า จะทำงานอะไรก็ทำไป   จะบริหารไปให้ ศีลธรรมประจำใจมีแต่เพิ่มพูน  ที่มีโอกาสจะตกนรกอย่าไปทำเลย   ส่วนว่าเมื่อศีลธรรมเพิ่มขึ้น   มากขึ้น  ในระหว่างนั้นมันอาจจะต้องใช้จ่ายมากขึ้นไปบ้าง ก็ช่างประไรเล่าในเมื่อไม่ถึงกับขาดทุนขาดรอน   กำลังทรัพย์หย่อนลงไปสักหน่อย  แต่ภูมิศีล  ภูมิธรรม   มันเพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ  ยอมเถอะลูก  อย่างนี้แล้วจะประสบความสำเร็จข้ามภพข้ามชาติกันอีกเหมือนกัน.

.

พระภาวนาวิริยคุณ

http://www.kalyanamitra.org