โฟร์พัฒนาชี้ราคาวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังเริ่มทรงตัว ทั้งเหล็ก ปูนซิเมนต์ฯ ผ่าน 2 เดือนแรกของครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มเพียง 0.20% เทียบกับครึ่งปีแรกที่ปรับตัวเฉลี่ยเกือบ 2 % ต่อเดือน คาดส่งผลดีกับบริษัทรับสร้างบ้านที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนง่ายขึ้น
โฟร์พัฒนาชี้ราคาวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังเริ่มทรงตัว ทั้งเหล็ก ปูนซิเมนต์ฯ ผ่าน 2 เดือนแรกของครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มเพียง 0.20% เทียบกับครึ่งปีแรกที่ปรับตัวเฉลี่ยเกือบ 2 % ต่อเดือน คาดส่งผลดีกับบริษัทรับสร้างบ้านที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนง่ายขึ้น และส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาด เผยทำสำรวจล่าสุด กำลังซื้อยังมีต่อเนื่องถึงปี 2552 ผู้บริโภครอปลูกสร้างบ้านอีกกว่า 50% ขณะที่บ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 5-8 ล้านบาทมีปริมาณความต้องการมากที่สุด |
. |
นาย
|
. |
|
นาย
|
. |
สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวถือว่าส่งผลดีโดยตรงต่อธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งต้นทุนกว่า 70% เป็นเรื่องของวัสดุก่อสร้างเป็นหลัก โดยเมื่อช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทฯเพิ่มขึ้นประมาณ 4.2 % แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นมาต้นทุนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีกเพียง 0.59% ซึ่งถือว่ามีผลกระทบที่น้อยมาก ทำให้การบริหารและการจัดการทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดด้วย เนื่องจากคาดว่าราคาบ้านไม่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นไปจากเดิม |
"ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทรับสร้างบ้านน่าจะบริหารและจัดการต้นทุนได้ง่ายกว่าตอนครึ่งปีแรก เพราะราคาวัสดุเริ่มทรงตัว ขณะที่วัสดุหลัก ๆ อย่างเหล็ก หรือ ปูนซิเมนต์ ก็ไม่ได้มีการปรับตัวสูงมากนัก คงเหลือแต่เรื่องของราคาน้ำมันซึ่งยังคงมีความผันผวนอยู่ แต่คาดว่าคงไม่ขึ้นไปสูงเหมือนกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนราคาบ้านช่วงนี้น่าจะไม่ขยับตัวเพิ่มขึ้นมาก และถือเป็นโอกาส ที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่จะสามารถเป็นเจ้าของบ้านในราคาที่ไม่สูงมากนัก" นายปราโมทย์ กล่าว |
. |
นายปราโมทย์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการประเมินกำลังซื้อในตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังนั้น จากการสำรวจของบริษัทฯในกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาติดต่อในช่วงที่มีการจัดงาน รับสร้างบ้าน 2008 โดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพบว่า กว่า 50% ต้องการปลูกสร้างบ้านภายในปี 2552 และอีก 14% ต้องการปลูกสร้างบ้าน ภายในปี 2553 |
. |
ข้อมูลดังกล่าวถือว่าส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้าน เนื่องจาก แสดงถึงผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง และปริมาณความต้องการปลูกสร้างบ้าน ยังคงมีอยู่สูง ที่น่าสังเกตอีกประการก็คือ บ้านระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทถือเป็นกลุ่มที่มี ความต้องการจะปลูกสร้างมากที่สุด รองลงมาเป็นบ้านระดับราคา 5-8 ล้านบาท โดยทั้งสองกลุ่มดังกล่าวมีปริมาณความต้องการปลูกสร้างสูงกว่า 90% |
สำหรับภาวะตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจาก ความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลง ประกอบกับเป็นช่วงที่ผู้บริโภคตัดสินใจที่จะปลูกสร้างบ้าน โดยในส่วนของบริษัทฯ ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเน้นทำตลาดสำหรับบ้านในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 5-10 ล้านบาทเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการปรับกลยุทธ์มาทำโครงการจัดสรร ในลักษณะของการร่วมมือกับเจ้าของที่ดินพัฒนาโครงการภายใต้ชื่อ โครงการบ้านบุษบา บนถนนติวานนท์ ซึ่งจับกลุ่มเป้าหมายระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทด้วยเช่นกัน |