เนื้อหาวันที่ : 2008-09-25 15:50:52 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1245 views

คลัง ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 51 เหลือ 5.1%จาก 5.6% จากการเมือง

กระทรวงการคลัง ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 51 เหลือ 5.1% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 5.6% จากผลความวุ่นวายทางการเมือง กระทบการขยายตัวของการบริโภค การลงทุน และ การท่องเที่ยว รวมทั้งการใช้จ่ายภาย

กระทรวงการคลัง ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 51 เหลือ 5.1% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 5.6% จากผลความวุ่นวายทางการเมือง กระทบการขยายตัวของการบริโภค การลงทุน และ การท่องเที่ยว รวมทั้งการใช้จ่ายภาย

.

ในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม  ขณะที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปรับลดมาอยู่ที่ 6.3% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 7.2% หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงส่วนปี 52 คาดว่า GDP จะเติบโต 4-5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 52 คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 3.0-4.0% ต่อปี เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปี 51  โดยสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่  95-105 ดอลลาร์/บาร์เรล จาก 103.7 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 51 ค่าเงินบาทที่ 33.0-35.0 บาท/ดอลลาร์ จาก 33.2 บาท/ดอลลาร์ในปี 51

.

นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในปี 51 จะขยายตัว 2.8% และ 5.0% ต่อปี ตามลำดับ ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ 3.5% และ 8.5% ต่อปี เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนชะลอการจับจ่ายใช้สอย และชะลอการตัดสินใจลงทุน 

.

การส่งออก แม้จะยังขยายตัวในระดับสูงและช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้ขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน แต่ก็มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงกว่าที่คาดการณ์เดิมตามความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 51 ยังคาดว่าจะคงเกินดุลที่ 0.4%ของ GDP

.

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากที่คาดการณ์เดิม จากอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 ที่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 6.3%ต่อปี จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.2%ต่อปี  สำหรับนโยบายที่จะต้องเร่งรัดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

.

นางพรรณี กล่าวว่า ภาครัฐต้องเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้มากขึ้น และหามาตรการเสริม เช่น ภาคการท่องเที่ยวมากระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ที่รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนว่ามีการลงทุนเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่มีเต่เพียงการจัดทำแผนเท่านั้นเพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับนักลงทุน "ภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลจะต้องเจรจาพันธมิตรให้เข้าใจผลกระทบว่าการชุมนุมเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม" นางพรรณีกล่าว

.

ในส่วน สศค.ต้องรอให้รัฐบาลใหม่มีการจัดทำร่างนโยบายบริหารราชการแผ่นดินเพื่อจัดทำข้อเสนอต่างๆ ให้มีความสอดคล้องกันขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 52 จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่การส่งออกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 3.0-4.0%ต่อปี ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจากฐานที่สูงในปีนี้ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.0-2.0%ของ GDP 

.

ด้านนายคณิศ แสงสุพรรณ  ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง(สวค.) คาดว่า เศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 51 เดิมที่คาดว่าจะโต 5.5% แต่คงชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.5% เนื่องจากการบริโภคการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวลดลง จากผลพวงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังชะลอตัวลงเกิดจากปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ

.

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เกิดจากการเบิกจ่ายงบประมาณมีความล่าช้า ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังมีปัญหาการเมืองและประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ในเดือนก.ย.ประเมินว่าการท่องเที่ยวลดลงแล้ว 30% คิดเป็นสูญเสียรายได้ 3-7 หมื่นล้านบาท

.

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศนั้น ปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ ซึ่งเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดการณ์ว่าในปี 52 สถานการณ์อาจจะเลวร้ายมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยดีสนับสนุน คือ เรื่องของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับที่ลดลงมา ขณะที่ดอกเบี้ยในตลาดโลกก็เริ่มทรงตัว

.

ในปี 52 มองว่าเศรษฐกิจยังจะชะลอตัวลง  โดยทั้งปีจะชะลอลงใกล้เคียงครึ่งหลังปี 51 ที่ 4.5% โดยคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนอาจจะปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลต้องเร่งรัดโครงการเมกะโปรเจ็คต์ให้เป็นรูปธรรมและเร่งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณแต่ในส่วนการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวลง