เนื้อหาวันที่ : 2008-09-11 09:20:59 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1101 views

คลัง เชื่อแม้การเมืองรุมเร้าแต่ GDP ปีนี้โตได้เกิน 5% เหตุพื้นฐาน ศก.ดี

สศค. ชี้สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แม้จะยังไม่คลี่คลายแต่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักยังไปได้ดีทั้งภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลง

สศค.  ชี้สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แม้จะยังไม่คลี่คลายแต่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักยังไปได้ดีทั้งภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลง

.

นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษกกระทรวงการคลังและที่ปรึกษาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แม้จะยังไม่คลี่คลายแต่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศน่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักยังไปได้ดีทั้งภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ระดับต่ำ และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง

.

ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นยอมรับว่าอาจส่งผลกระทบบ้างต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความรู้สึกของประชาชน โดยกระทรวงการคลังเห็นว่าหากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายลง จะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้นและหากรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรไม่ใช้ความรุนแรงก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตได้ 5-6%

.

"ตอนนี้คงต้องรอดูวันศุกร์ว่าตัวนายกฯ รัฐมนตรีคนใหม่ที่จะออกมา เป็นที่ยอมรับหรือไม่ ซึ่งหากมองในทางที่ดี ก็น่าจะทำให้การเมืองคลี่คลายลง ซึ่งกระทรวงการคลังจะประเมินเรื่องนี้อีกครั้ง"นายสมชัย กล่าว

.

นายสมชัย กล่าวว่า สศค.ได้เตรียมพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อจะเสนอให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการ รมว.คลัง ตัดสินใจดำเนินการ ซึ่งจะมีทั้งมาตรการภาษีและมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว พร้อมเห็นว่าแผนการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ยังมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องเดินหน้าตามแผนต่อไป เพราะถือเป็นโครงการสำคัญในการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนจะมีการชะลอโครงการออกไปหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรักษาการนายกรัฐมนตรี

.

"โครงการเมกะโปรเจ็คต์อยู่ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการเมกะโปรเจ็คต์ทั้ง 5 ด้านจะเดินหน้าหรือไม่ ซึ่งหากเดินหน้าต่อและทำงานอย่างโปร่งใสก็ไม่น่ามีปัญหา แต่จะชะลอหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่เห็นว่าหากให้รอต่อไปประเทศชาติจะเสียหายได้"โฆษกกระทรวงการคลัง ระบุ