เนื้อหาวันที่ : 2008-09-08 10:18:40 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1667 views

กรมธุรกิจพลังงาน สั่งโรงบรรจุก๊าซ LPG ติดมิเตอร์หลังปรับราคาป้องกันการยักย้ายถ่ายเท

กรมธุรกิจพลังงาน ลุยโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม(LPG)ทั่วประเทศติดตั้งมิเตอร์ เพื่อวัดปริมาณก๊าซที่จะใช้ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง ป้องกันการยักย้ายถ่ายเทหลังมีการกำหนดโครงสร้างราคาแยกออกจากกัน ออก มาตรการที่จะดูแลความปลอดภัยป้องกันการถ่ายเท หลังจากกำหนด 2 ราคา

กรมธุรกิจพลังงาน ลุยโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม(LPG)ทั่วประเทศติดตั้งมิเตอร์ เพื่อวัดปริมาณก๊าซที่จะใช้ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง ป้องกันการยักย้ายถ่ายเทหลังมีการกำหนดโครงสร้างราคาแยกออกจากกัน ออกมาตรการที่จะดูแลความปลอดภัยป้องกันการถ่ายเท หลังจากกำหนด 2 ราคา คือ ให้โรงบรรจุก๊าซฯ ทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง ติดตั้งมิเตอร์ เพื่อจะได้ทราบชัดเจนว่าปริมาณก๊าซที่นำไปบรรจุถังใช้เพื่อครัวเรือน

.

นาย เมตตา บันเทิงสุข

อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน

.

อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยเตรียมสั่งการให้โรงบรรจุก๊าซหุงต้ม(LPG)ทั่วประเทศติดตั้งมิเตอร์ เพื่อวัดปริมาณก๊าซที่จะใช้ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่ง ป้องกันการยักย้ายถ่ายเทหลังมีการกำหนดโครงสร้างราคาแยกออกจากกัน"มาตรการที่จะดูแลความปลอดภัยป้องกันการถ่ายเท หลังจากกำหนด 2 ราคา คือ ให้โรงบรรจุก๊าซฯ ทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง ติดตั้งมิเตอร์ เพื่อจะได้ทราบชัดเจนว่าปริมาณก๊าซที่นำไปบรรจุถังใช้เพื่อครัวเรือนมาปริมาณเท่าใด" นาย เมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าว

.

ส่วนการประกาศโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ใหม่นั้น ขณะนี้ต้องรอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้พิจารณาว่าจะปรับราคาเมื่อใด   "ยิ่งล่าช้าก็ยอมรับว่าน่าเป็นห่วงเพราะยอดใช้ก๊าซฯ สำหรับรถยนต์ยังเพิ่มขึ้น โดย ปตท.ต้องนำเข้ามาขายให้ก่อน โดยยอดส่วนต่างราคาที่ภาครัฐต้องนำเงินไปจ่ายให้ ปตท.มีสูงถึง 3,200 ล้านบาทแล้ว" นายเมตตา กล่าว

.

นายเมตตา กล่าวว่า ได้ติดตามผลการปฏิบัติการตามประกาศใช้กฎกระทรวงควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2550 ที่กำหนดให้มีการติดตั้งหน่วยควบคุมไอน้ำมัน(Vapor Recovery Unit)หรือ VRU ที่คลังน้ำมันเชื้อเพลิง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และรถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเขตพื้นที่ที่มีคลังน้ำมันอีก 7 จังหวัด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน พ.ค.52 เป็นต้นไป

.
พบปัญหาว่าในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านที่ให้รถขนส่งน้ำมันใหม่ ต้องเป็นระบบเติมน้ำมันใต้ถัง (Bottom loading) ทั้งหมด ส่วนรถที่มีอยู่เดิม 3,400 คัน ที่เป็นระบบเติมน้ำมันจากด้านบนถัง (Top Loading) ให้เปลี่ยนเป็นระบบใต้ถังนั้นต้องลงทุนสูงประมาณ 300,000500,000 บาทต่อคัน หรือรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้เกิดภาระแก่ผู้ประกอบการ
.
ดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันไม่ให้หยุดชะงัก กรมฯ จึงได้ศึกษาวิธีปฏิบัติของประเทศญี่ปุ่นที่ดัดแปลงฝาถังด้านบน สามารถนำไอระเหยน้ำมันส่งยังคลังน้ำมันได้ และสามารถนำรถเข้าไปรับน้ำมันจากคลังน้ำมันได้  โดยใช้ต้นทุนต่ำในการดัดแปลงเพียง 3-5% ของรถใหม่ และ 20-30% ของรถดัดแปลง
.

"ผลจากการควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นการลดการแพร่กระจายของไอน้ำมันซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ลดมลพิษทางอากาศ และแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน และยังสามารถนำน้ำมันที่ระเหยไปกลับมาใช้เป็นน้ำมันได้อีก ซึ่งนับว่าเป็นการประหยัดน้ำมัน ช่วยลดการนำเข้าพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย"นายเมตตา กล่าว