เนื้อหาวันที่ : 2008-09-04 22:10:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2956 views

ก.วิทย์ เร่งระดมความเห็นรับมือโลกร้อนรับมือในปัจจุบันและอนาคต

ก.วิทย์ฯ ระดมความคิดเห็นและร่วมสร้างความเข้าใจในปัญหา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นในการสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อน และนำไปสู่การร่วมกันกำหนดแนวทางรับมือต่อปัญหาวิกฤติโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เตรียมจัดประชุมใหญ่ 17 กันยายนนี้ หวังรับมือภาวะโลกร้อน เปิดรับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ ประชาชาชน ชุมชน หลังเดินสายจัดประชุมระดมความคิดเห็นในส่วนภูมิภาค สงขลา-เชียงใหม่-ขอนแก่น ประสบผลสำเร็จ วุฒิพงศ์ ฉายแสง หวังร่างเป็นมาตรการเสนอรัฐบาลจัดทำนโยบายเผยแพร่สู่สาธารณชน

.

นาย วุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่า การกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงการจัดประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 7 ในวันที่ 17 กันยายน 2551 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ว่า "ในปีนี้ได้กำหนดให้เป็นเรื่อง "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับภาวะโลกร้อน" เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทุกประเทศกำลังตื่นตัว และในหลายประเทศเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวแล้ว รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งทางภาครัฐเองก็ได้กำหนดให้หลายหน่วยงานเตรียมพร้อม และเร่งรัดมาตรการเพื่อรับมือและบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน"

.

"ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาระดับโลก ทุกประเทศต่างก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ซึ่งแม้เราจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างหนักเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน แต่เราก็นิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะขณะนี้มีสัญญาณเตือนจากธรรมชาติหลายอย่าง เช่น ภาวะขาดแคลนน้ำอย่างหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ ภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงขึ้นทุกปี หรือว่าล่าสุดที่มีการคาดการณ์ว่า อาจะเกิด Storm Surge ในบริเวณชายฝั่งอ่าวไทย ดังนั้น ทุกภาคส่วนในประเทศไทยควรจะตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะโลกร้อนให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไข และรับมือกับสภาวการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายวุฒิพงศ์ฯ กล่าว

.

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวเพิ่มเติมว่า "ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนอยู่ไม่น้อย เช่น การพัฒนาพันธุ์พืชทนแล้งและน้ำท่วมเพื่อช่วยในการปรับตัวของพืชและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็ม การจัดทำแผนที่นำทางทางด้านพลังงานชีวภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ การพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการสร้างแหล่งพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น"

.

การประชุมสมัชชาครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในเวทีการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนา และเผยแพร่ความรู้และแนวทางการรับมือกับภาวะโลกร้อนสู่สาธารณชนต่อไป

.

การประชุมในส่วนกลางจะจัดขึ้นวันที่ 17 กันยายน 2551 ณ อิมแพ็ค เมืองธานี โดยพิธีเปิดได้เรียนเชิญนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร. ไมเคิล โนเบล ทายาทรุ่นที่ 4 ของผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบล มาบรรยายในหัวข้อ “Science and Technology in Coping with Global Warming in the International context” นอกจากนี้ยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน อาทิ รศ.ดร. สิรินทรเทพ เต้าประยูร บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในหัวข้อ "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับภาวะโลกร้อน ในบริบทของประเทศไทย" นาย ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในหัวข้อ "คาร์บอนเครดิตกับโอกาสของภาคเอกชนไทย"

"ขณะนี้ได้รับการตอบรับจากนักวิชาการ ผู้ประกอบการ และประชาชนที่ให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมฟังการประชุมแล้วจำนวนมาก ซึ่งภายในงานจะมีการจัดประชุมกลุ่มย่อยเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 "คาร์บอนเครดิตกับโอกาสของภาคเอกชนไทย" กลุ่มที่ 2 "การใช้พลังงานในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพและกลุ่มที่ 3 "การใช้พลังงานในภาคการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ และยังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาภาวะโลกร้อน และแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากหน่วยงานในกระทรวงฯ"

.

ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดำเนินการจัดการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 7 ในส่วนภูมิภาค ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ครั้งที่ 1 ภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) เรื่อง ภาวะโลกร้อนกับผลกระทบชายฝั่งและโอกาสของพลังงานชีวภาพครั้งที่ 2 ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) เรื่อง "ภาวะโลกร้อนและการใช้ประโยชน์จากป่าเศรษฐกิจ" และครั้งที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จังหวัดขอนแก่น) เรื่อง "ภาวะโลกร้อนกับการจัดการลุ่มน้ำและพืชเศรษฐกิจ"

.

ได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มนักวิชาการ ภาคการผลิต ข้าราชการ รวมถึงประชาชนทั่วไปเข้าร่วมประชุมจำนวนมาก ซึ่งได้ช่วยกันระดมความคิดเห็นและร่วมสร้างความเข้าใจในปัญหา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นในการสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อน และนำไปสู่การร่วมกันกำหนดแนวทางรับมือต่อปัญหาวิกฤติโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป