เนื้อหาวันที่ : 2008-09-04 19:45:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1498 views

หม่อมอุ๋ย คาดเงินนอกไหลกลับตลาดหุ้นไทยหลังพ้นก.ย.-ดอกเบี้ยทรงตัว

อดีตรมว.คลัง และอดีต ธปท. คาดว่าหลังจากผ่านพ้นเดือนก.ย.นี้ไปแล้ว มีโอกาสที่เงินทุนจากต่างประเทศจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นช่วงที่สถาบันการเงินในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาแฟนนี่เมและเฟรดดี้แมคเสร็จสิ้นการตั้งสำรองแล้ว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง และอดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าหลังจากผ่านพ้นเดือนก.ย.นี้ไปแล้ว มีโอกาสที่เงินทุนจากต่างประเทศจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นช่วงที่สถาบันการเงินในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาแฟนนี่เมและเฟรดดี้แมคเสร็จสิ้นการตั้งสำรองแล้ว และไม่มีภาระการตั้งสำรองมากนัก ก็จะนำเงินกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย 

.

.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง และอดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

.

นอกจากนั้น ยังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศระยะต่อจากนี้ยังน่าจะทรงตัว เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงแล้ว ตามทิศทางราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภคบริโภค "เชื่อว่าทั้งปี อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับต่ำกว่า 7% โดยเฉพาะ ปัญหาราคาน้ำมันปรับตัวลดลง  ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง  และอัตราดอกเบี้ยก็ไม่มีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้นอีก เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ"  ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง ทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินบาท"

.
ส่วนปัญหาการเมือง โดยส่วนตัวต้องการให้จบเร็วที่สุด และไม่มีปัญหากระทบกระทั่งและความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมมากที่สุด "ผมยังเชื่อมั่นว่า อัตราการเติบโตของประเทศไทยในครึ่งปีหลังน่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรกได้ หาก รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ในโครงการเมกะโปรเจกท์ และโครงการลงทุนภาครัฐอื่นๆ"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร  กล่าว
.

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก การเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย ประมาณ 5.3%  โดยการใช้จ่ายของภาครัฐ ติดลบ 1.3% ขณะที่ภาคเอกชนมีการใช้จ่ายสูงกว่า 2% โดยปัจจัยหลักเชื่อว่าการเติบโตของภาคเอกชนมาจากการที่ประชาชนในภาคเกษตรกรรม ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้รับผลดี จากราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ ข้าว ยาง  มันสำปะหลัง อ้อย และ ปาล์ม ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก และเชื่อว่า ราคาสินค้าเกษตร น่าจะทรงตัวในระดับสูง ในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า และการใช้จ่ายของภาคเกษตรกร จะเป็นตัวนำเศรษฐกิจไทย

.

ส่วนภาคการส่งออก มองว่าประเทศไทยยังพึ่งพาการส่งออกในระดับสูง ดังนั้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของประเทศ  โดยปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกไปในประเทศแถบเอเชียสูงถึง 40% และในอนาคตมีแนวโน้มสูงภึง  50-60% เนื่องจากอุตสาหกรรมหลัก ยังคงอยู่ในจีน อาเซียนและ ญี่ปุ่น

.

ส่วนปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ เนื่องมาจากนโยบายการจ่ายคืนเงินภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2  อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายระยะสั้นที่จะพยุงเศรษฐกิจสหรัฐในระยะสั้น แต่ในช่วงก.ค.-ส.ค. เริ่มเห็นทิศทางการชะลอตัวลงของการใช้จ่าย ดังนั้น เชื่อว่า ในช่วงระยะสั้น ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัว และอาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า

.

ด้านนาย ทนง พิทยะ อดีตรมว.คลัง  กล่าวว่า ประเทศไทยตอนนี้ มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีปัจจัยการเมืองเข้ามากระทบ แต่หวังว่า การเมืองจะจบโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศ แต่จากการที่เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งจากการที่ภาคการส่งออกเติบโต จะทำให้จีดีพีของประเทศยังคงเติบโตได้

.

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นห่วงบ้างเรื่องสถานการณ์การเมืองอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจจะไม่เข้าลงทุนในไทย และเลือกลงทุนในประเทศอื่นหรือนักลงทุนต่างประเทศรายเดิมอาจถอนทุนออกจากประเทศไทย  แต่ยังมั่นใจว่า เมี่อเทียบปัจจัยพื้นฐานด้านการขนส่ง โลจิสติกส์ ของไทยยังดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน

.

ส่วนปัญหาเศรษฐกิจโลก ก็ยังได้รับปัญหาซับไพร์ม ที่ส่งผลต่อกองทุนเฮจด์ฟันด์ และสถาบันการเงินในยุโรป และ สหรัฐอเมริกา  รวมทั้งขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะจบเมื่อไร ดังนั้นอาจจะมีผลกระทบออกมาเป็นระลอก

.

ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นายทนง แนะให้เข้าซื้อหุ้นเพราะราคาต่ำลงค่อนข้างมากจากปัจจัยลบต่างๆ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หลายแห่งยังมีอัตราการเติบโตและความสามารถทำกำไร รวมทั้งมีการจ่ายปันผลดี  หรือลงุทนหุ้นบลูชิพ แต่ควรเป็นการลงทุนในระยะยาว  3-5 ปี  เชื่อว่าจะมีกำไร