นํ้ามันก๊าซโซฮอล์ อี 85 คือ นํ้ามันที่มีส่วนผสมของ "เอธานอล" 85 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประเทศไทยเราผลิตได้เองจากอ้อยและมันสำปะหลัง และ ส่วนผสมของ "นํ้ามันเบนซิน" 15 เปอร์เซ็นต์  เมื่อผสมกันออกมาเป็นนํ้ามันอี 85 ก็จะตกลิตรละ 23 บาท ถูกกว่าเบนซิน 95 ลิตรละ 16.59 บาท ถูกกว่าก๊าซโซฮอล์ 95 ลิตรละ 12.59 บาท ที่สำคัญที่สุดก็คือ นํ้ามันสูตรอี 85 จะช่วยให้ไทยลดการใช้นํ้ามันเบนซินลงถึงร้อยละ 85 ทำให้ ลดการใช้นํ้ามันดิบ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ถึงปีละกว่า 97,000 ล้านบาท

รัฐบาลได้ใช้นํ้ามัน "ก๊าซโซฮอล์ E 85" เป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันและเป็นนํ้ามันหลักในการแก้ปัญหาวิกฤติราคานํ้ามันแพงในระยะยาว โดยให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรฯ ไปทำแผนส่งเสริมและผลิตนํ้ามันก๊าซโซฮอล์อี 85 ร่วมกัน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันนับว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนราคาสินค้า รวมถึงค่าครองชีพของประชาชนที่พุ่งสูงขึ้น  จึงเป็นแรงผลักดันให้หลายประเทศหันมาส่งเสริมให้มีการผลิตเอทานอลเพื่อใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างจริงจังมากขึ้น

อ้อยกับบทบาทใหม่ด้านพลังงาน

ปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลที่เปิดดำเนินการผลิตแล้ว 10 แห่ง   นับว่าการผลิตเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงมีส่วนช่วยลดการขาดดุลการค้าจากการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ  และที่สำคัญยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเกษตรของประเทศรวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ปัจจุบันไทยผลิตอ้อยได้ปีละ 70 ล้านตัน ทำเป็นน้ำตาลให้คนไทยบริโภคในประเทศแค่ 20 ล้านตันเท่านั้น ยังมีอ้อยเหลืออีกปีละ 50 ล้านตันที่จะนำมาผลิตเป็นเอธานอลได้อย่างสบาย และทำได้ทันทีเพราะโรงงานผลิตมีอยู่แล้ว ประเทศที่ใช้เอธานอลแทนน้ำมัน 100% ในโลกวันนี้ก็มี บราซิล ซึ่งเป็นประเทศปลูกอ้อยมากที่สุดในโลก แม้แต่ สวีเดน ก็ใช้เอธานอลในรถยนต์เกือบ 100% เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม สหรัฐฯ ก็ใช้เอธานอลในรถยนต์ถึง 4-50% ถ้ารัฐบาลลดภาษีจูงใจสูงพอ ผมคิดว่า อีก 3 เดือน ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง ฟอร์ด, บีเอ็มดับเบิลยู และ วอลโว่ ก็สามารถจะนำรถที่ใช้น้ำมันอี 85 เข้ามาจำหน่ายได้ทันที อีกปีครึ่งค่อยผลิตในประเทศทุกยี่ห้อ

ในอนาคตถ้ารัฐบาลสามารถบังคับให้บริษัทรถยนต์ผลิตรถที่ใช้ เอธานอล 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนประเทศบราซิลได้แล้ว ประเทศไทยก็แทบจะไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเลย วัตถุดิบหลัก ที่ใช้ในการผลิต เอธานอล ก็คือ  อ้อย

คนไทยคงได้ยินเรื่องแก๊สโซฮอล์ E20 หรือ E20 มาบ้างแล้ว แต่ E85 คงยังจะเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน  ในบทความ E85 ทางรอดของวิกฤตพลังงานไทย ที่คุณ มนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ได้เขียนประเด็นไว้มีหลายประเด็น ที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับ E85 ที่หลายคนยังมีข้อสงสัยและถกเถียงกันอยู่ มาลองดูกันว่า มีประเด็นอะไรบ้าง

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน หรือระยะทางต่อลิตร : น้ำมัน E85 จะช่วยลดการใช้พลังงานหรือเปล่า

ต้นทุน : ใช้ E85 จะแพงกว่าใช้เบนซินไหมเพราะใช้ E85 1 ลิตรจะวิ่งได้ระยะทางสั้นกว่า

ความสมดุลด้านพลังงาน : การผลิตน้ำมัน E85 1 ลิตร ใช้พลังงานมากกว่าปริมาณพลังงานที่น้ำมัน 1 ลิตรผลิตได้หรือเปล่า

ความมั่นคงด้านพลังงาน : เราจะลดการพึ่งพาน้ำมันที่นำเข้าจากต่างประเทศได้อย่างไร

ความกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : เราต้องช่วยลดปริมาณก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้อย่างไร

.

http://www.e85fuel.com

คุณอาจต้องเติมน้ำมันบ่อยขึ้น

แน่นอนว่าเอทานอลเป็นพลังงานชีวภาพที่สามารถผลิตทดแทนได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถผลิตได้จากมันสำปะหลังและอ้อย การที่เอทานอลผลิตจากพืชที่สามารถปลูกทดแทนได้ รวมทั้งไม่ได้ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ปิโตรเลียมหรือก๊าซธรรมชาติ เมื่อเอทานอลถูกเผาไหม้จึงเกิดก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกต่ำ ถ้าถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

คำตอบก็คือว่าทุกกระบวนการในการผลิตเอทานอลจะดูดซับการปล่อยคาร์บอนเอาไว้ และทุกวันนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่ใช้กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีไฮบริดหรือก๊าซธรรมชาติก็ตามที่เกิดสมดุลของคาร์บอนได้มากเท่าเทคโนโลยีเอทานอล  อย่างไรก็ดี เชื้อเพลิงเอทานอล 1 ลิตร จะสามารถผลิตพลังงานได้น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน 1 ลิตร เพราะปริมาณพลังงานและวิธีการผลิตเชื้อเพลิงเอทานอลที่แตกต่าง ทำให้น้ำมัน E85 สามารถผลิตพลังงานได้เพียง 75% ของน้ำมันเบนซินเท่านั้น

นี่หมายถึงว่า คุณอาจต้องเติมน้ำมันบ่อยขึ้น ดังนั้นการที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเติม E85 เท่ากันกับเบนซินธรรมดาและน่าสนใจมากพอที่จะจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม น้ำมัน E85 จึงควรมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซินอย่างน้อย 25% ส่วนเรื่องอื่นผู้บริโภคจะไม่เห็นความแตกต่างเลย ไม่ว่าจะในเรื่องสมรรถนะของเครื่องยนต์หรืออัตราเร่งเพราะค่าออกเทนในเอทานอลสูงกว่าในเบนซินธรรมดา ทำให้เครื่องยนต์สามารถเรียกแรงบิดมากขึ้นได้สบาย ๆ

E85 ลดการใช้และนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ

จากที่กล่าวมาคงจะเห็นแล้วว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่หมดชนิดกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะแทนที่เราจะมานั่งคำนวณเรื่องรถกินน้ำมันกี่กิโลเมตรต่อลิตร เราควรจะคิดว่าการเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน E85 จะช่วยให้เราลดการใช้และนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ถึง 85% เลยทีเดียว

ถ้าไม่อยากคิดมากเกี่ยวกับน้ำมัน E85 ก็ขอให้นึกถึงประโยชน์ข้อใหญ่ข้อเดียวว่า น้ำมัน E85 ช่วยให้เราลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและไม่ต้องพึ่งน้ำมันที่ซื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของคนไทย โดยเฉพาะในวันนี้ซึ่งราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างไม่สามารถคาดการณ์ได้ ถ้าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการใช้น้ำมัน E85 ก็หมายความว่าประเทศของเรามีภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจหรือการเมืองในตะวันออกกลาง หรือที่อื่น ๆ ทั่วโลก

ข้อได้เปรียบสำคัญประการหนึ่งของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85 คือ รถยนต์เหล่านี้ใช้พลังงานได้หลากหลายคือ จะเติมน้ำมันอะไรก็ได้ รวมถึงแก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมอยู่ในอัตราส่วนใด ๆ ก็ได้ สูงสุดถึง 85% (ต้องมีน้ำมันเป็นส่วนผสมอยู่ 15% เพื่อให้เครื่องยนต์สตาร์ตติดอย่างมีประสิทธิภาพ) ดังนั้นผู้ขับขี่ก็สามารถเติมน้ำมัน E85 ได้ที่ปั๊มจำหน่าย ถ้าไม่มีก็เติมน้ำมันเบนซินธรรมดา หรือแก๊สโซฮอล์ หรือ E20 ได้ คุณจึงเดินทางทั่วประเทศได้แบบไร้ปัญหา

ส่งสัญญาไปยังค่ายรถยนต์ต่าง ๆ แล้ว

กระทรวงพลังงานได้ส่งสัญญาไปยังค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ในการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮออล์ อี 85 ในด้านความพร้อมของสถานีบริการน้ำมันที่จะจำหน่ายน้ำมันอี 85 ทั้งสถานีบริการปตท. และบางจาก จำนวนอย่างน้อย 30 แห่ง และในส่วนของโรงกลั่นน้ำมันก็ได้ยืนยันว่าสามารถผลิตน้ำมันอี 85 ได้โดยไม่ติดขัดแต่อย่างใด โดยคาดว่าว่าราคาน้ำมันอี 85 อาจจะถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 95 กว่า 30 %

ซึ่งการส่งเสริมน้ำมันอี 85 นั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำมันของคนไทยได้ เนื่องจากมีส่วนผสมของเอทานอลจากอ้อยและมันสำปะหลังของเกษตรกรชาวไทยถึง 85% และเป็นน้ำมันที่ต้องนำเข้าเพียง 15 % เท่านั้น จะทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำมันได้อย่างยั่งยืน  อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 85 นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับนโยบายอีโคคาร์หรือการส่งเสริมรถไฮบริด เพราะรถทั้ง 2 ประเภทต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงอยู่ดี จะใช้น้ำมันเบนซิน 95 หรือ อี 10 หรืออี 85 ก็สุดแต่ผู้ผลิตจะเลือกติดตั้งเครื่องแบบไหนและหากเป็นรถอีโคคาร์หรือรถไฮบริดและใช้อี 85 ด้วยก็จะเป็นการให้กำไร 2 ต่อแก่ประชาชนให้สามารถเลือกใช้ได้

บางจากขาย อี85 เดือนละ 2 ล้านลิตร

บางจากพร้อมจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 แล้ว โดยได้ลงทุนไปประมาณ 2-3 ล้านบาท ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตในโรงกลั่นเดิม ทำให้มีกำลังผลิต อี85 ได้เดือนละประมาณ 2 ล้านลิตร  หากความต้องการ อี85 อยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 20 ล้านบาท รวมถึงต้องลงทุนเปลี่ยนถัง ท่อ และหัวจ่ายในสถานีบริการ อีก 2 ล้านบาทต่อแห่ง ทั้งนี้บางจากมีแผนจะทยอยเปิดสถานีบริการจำหน่าย อี85 ประมาณ 15 แห่ง ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.นี้ เรื่องนี้ต้องหารือกับค่ายรถยนต์ก่อน เพื่อให้แน่ชัดว่าจะมีการนำเข้ารถ อี85 มาได้เมื่อไหร่ และจำนวนเท่าใด เพื่อที่จะให้ประมาณการจำหน่ายน้ำมัน อี85 ชัดเจน

ส่วนการจำหน่ายพลังงานทดแทนนั้น ขณะนี้บางจากมียอดการจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดมีการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากต้นปีกว่า 60% โดยเฉพาะ อี20 ที่มีสัดส่วนการจำหน่าย เป็น 6 แสนลิตรต่อเดือน จากต้นปี 1 แสนลิตรต่อเดือน ขณะที่ไบโอดีเซล บี 5 มียอดการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 70 ล้านลิตรต่อเดือน จากต้นปีอยู่ที่เดือนละ 20 ล้านลิตร  ส่วนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่จำหน่ายในสถานีบริการบางจาก 10 แห่ง ขณะนี้ยอดการจำหน่ายเพิ่มจาก 4,000-5,000 กก.ต่อวัน เป็น 9,000 กก.ต่อวัน โดยบางจากกำลังจะเพิ่มสถานีจำหน่ายเอ็นจีวีเป็น 20 แห่งในสิ้นปีนี้

ส่วนไบโอดีเซล บี 5 มาตรฐานยุโรประดับที่ 4 หรือยูโร 4 บางจากได้เปิดจำหน่ายเป็นครั้งแรก ใช้ชื่อว่า บางจากเพาเวอร์ดี บี 5 ยูโร 4 เป็นการนำร่องจำหน่ายก่อนกฎหมายบังคับ โดยจะเปลี่ยนการจำหน่ายจากบี 5 ปกติมาเป็น บี 5 ยูโร 4 ในเขต กทม.และปริมณฑลให้แล้วเสร็จในสิ้นปีนี้ และปีหน้าจะขยายไปทั่วประเทศ ทั้งนี้ไบโอดีเซล บี 5 มาตรฐานยูโร 4 นั้น ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม โดยลดปริมาณกำมะถันลงถึง 7 เท่า ทั้งก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไฮโดรคาร์บอน ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ฝุ่นละออง และลดสารที่ก่อให้เกิดเขม่าควันดำ

ลดภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิง อี85

การที่รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตเชื้อเพลิง อี85 (เชื้อเพลิงผสมระหว่างเอทานอล 85% และเบนซิน 15%) เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะจะช่วยให้ช่องว่างกับราคาน้ำมันเบนซินปกติและแก๊สโซฮอล์ อี10 และ อี20 มากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคได้มาก ทางกระทรวงมีความพยายามในการถ่างช่องว่างราคาน้ำมันปกติกับ อี 85 ออกไปให้มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิมที่ 15 บาทต่อลิตร ให้ช่องว่างกว้างมากได้ถึง 16-18 บาทต่อลิตร ถ้าหากรัฐบาลสามารถทำราคาตรงนี้ได้ เชื่อว่าผู้บริโภคจะหันมาใช้น้ำมัน อี85 กันแบบสมัครใจกันอย่างมาก

อุปสรรคสำคัญของน้ำมัน อี85 คือการที่ยังไม่มีรถยนต์ที่สามารถเติมได้ ซึ่งเรียกว่ายานยนต์พลังงานยืดหยุ่นหรือ Flex Fuel ที่สามารถเติมเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วนของเอทานอลได้หลากหลาย โดยที่สมองกลของรถจะสามารถคำนวณการฉีดเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดที่ถูกต้องได้อัตโนมัติ

โดยช่วงแรกที่มีการนำรถยนต์สำเร็จรูปแบบ CBU เข้ามา คงจะต้องยอมให้สิทธิประโยชน์ในการเลือกใช้น้ำมันกับรถกลุ่มนี้ไปก่อน เพราะคงไม่สามารถบังคับให้เติมเฉพาะ อี85 เท่านั้นได้ เนื่องจากยังมีสถานีบริการที่มีหัวจ่าย อี85 อยู่จำกัด ขั้นต่อไปรัฐบาลจะต้องเร่งให้ค่ายรถทำการประกอบในประเทศ ซึ่งค่ายยุโรปนั้นมีแผนที่จะทำ แต่ในฟากค่ายญี่ปุ่นที่ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ รัฐบาลจะต้องเร่งให้เกิดการลงทุน ทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เมื่อมีการผลิตรถกลุ่มนี้ออกมามากในราคาที่ต่ำลงมา สถานีบริการน้ำมัน อี85 ก็จะเพิ่มขึ้นตามดีมานด์ตลาดได้เอง

อย่างไรก็ตามเรื่องพลังงานทางเลือกจากเอทานอล เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกับผู้บริโภค ในเรื่องประสิทธิภาพและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้รถยนต์ อี85 ได้อย่างเชื่อมั่น