เนื้อหาวันที่ : 2008-07-11 08:17:34 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1256 views

รมว.พลังงาน แนะภาคอุตสาหกรรมรีบเปลี่ยนใช้พลังงานอื่นแทน LPG ก่อนลอยตัว

รมว.พลังงาน แนะผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนชนิดอื่นแทนก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพื่อลดผลกระทบเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตก่อนที่จะมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาแอลพีจีในเดือน ก.ค.นี้

รมว.พลังงาน แนะผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนชนิดอื่นแทนก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพื่อลดผลกระทบเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตก่อนที่จะมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาแอลพีจีในเดือน ก.ค.นี้

.

"อยากเรียกร้องให้โรงงานอุตสาหกรรมเร่งลดการใช้แอลพีจีแล้วหันมาใช้เชื้อเพลิงอื่น เช่น ก๊าซธรรมชาติแทน หรือหาแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน เช่น การนำเศษวัสดุเหลือใช้มาผลิตเป็นเชื้อเพลิง เพื่อลดผลกระทบจากการปรับราคาแอลพีจีที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบได้ในระยะยาว" พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน กล่าว

.

ปัจจุบัน โรงงานอุตสาหกรรมมีการใช้แอลพีจีมากขึ้น โดยมียอดการใช้ในเดือน ก.ค.มีจำนวนกว่า 60,000 ตันและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นไปอีก โดยโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาแอลพีจีในเดือน ก.ค.นี้หากไม่มีการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนชนิดอื่นๆ เพราะมีทางเลือกต่างจากภาคครัวเรือน

.

รมว.พลังงาน กล่าวว่า หากโรงงานอุตสาหกรรมหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีจะมีความสะดวกมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้กระทรวงพลังงานได้สนับสนุนให้ ปตท.เร่งวางท่อก๊าซธรรมชาติย่อยไปยังแหล่งที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้โรงงานเปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติแล้ว คาดว่าภายใน 3 ปี โครงการเดินท่อก๊าซธรรมชาติย่อยน่าจะแล้วเสร็จในบางส่วน

.

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานยังได้มีโครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมในหลายด้าน เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน หรือปรับเปลี่ยนวัสดุ หรืออุปกรณ์ประหยัดพลังงานให้มากขึ้น ได้แก่ โครงการสินเชื่อพลังงานภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ซึ่งมีวงเงินที่พร้อมปล่อยสินเชื่อกว่า 60,000 ล้านบาท ผ่าน 13 สถาบันการเงิน

.

เนื่องจากราคาแอลพีจีปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยเดือน ก.ค.ราคาอยู่ที่ 920 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่มีราคา 905 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่ปริมาณการใช้แอลพีจีในประเทศยังขยายตัว ทำให้ปริมาณการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคขนส่ง

.

ซึ่งขณะนี้มี ปตท.เป็นผู้นำเข้าเพียงรายเดียวเพื่อรองรับความต้องการทั้งระบบ ดังนั้นผู้ประกอบการที่จำหน่ายแอลพีจีในภาคขนส่งสามารถนำเข้าเองได้เพื่อดูแลกลุ่มลูกค้าของตนเอง และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขาดตลาด