เป็นบริษัทเครือข่ายสาขาโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจทางด้าน บาร์โค้ด มาเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี และมีเครือข่ายสาขาทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของซาโต้ในประเทศไทยจะได้รับ การการันตีคุณภาพโดยวิศวกรชาวญี่ปุ่นก่อนทุกชิ้นจึงออกจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพสินค้าระดับเดียวกับในประเทศ ญี่ปุ่น
บริษัท ซา
|
. |
สำหรับคอลัมน์ Interview ได้รับเกียรติจาก Mr.Susumu Tasai (General Manager) บริษัท ซา
|
. |
|
. |
Mr.Susumu Tasai |
General Manager |
บริษัท ซา
|
. |
Q: ประวัติ สินค้าและบริการ |
A: บริษัท Sato Auto ID (Thailand) Co., Ltd.ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เริ่มต้นด้วยพนักงาน 6 คน แรกเริ่มบริษัทเป็นผู้นำเข้าบาร์โค้ดปริ๊นเตอร์และฉลาก (Label) ที่ผลิตจากมาเลเซีย จนราวปี ค.ศ. 2004 บริษัทก็เริ่มมีการผลิตฉลาก (Label) และป้าย (Tag) ภายในประเทศ ซึ่งสามารถผลิตได้ตามลักษณะการใช้งาน ตามความต้องการของลูกค้า ปัจจุบันบริษัท Sato มีพนักงานร่วม 100 คน ในการดูแลลูกค้าทั่วประเทศ |
. |
ผู้ประกอบการเกี่ยวกับระบบบาร์โค้ดในประเทศมีอยู่ประมาณ 11 แห่ง บริษัท Sato มีสัดส่วนการตลาดอยู่ราว ๆ 21 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าของบริษัท Sato ส่วนใหญ่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม อาทิ เช่น ที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน แหลมฉบัง ระยอง พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ |
. |
บริษัท Sato สามารถจัดหาระบบบาร์โค้ดที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้ ซึ่งมีตั้งแต่ระบบซอฟต์แวร์ (Software) เครื่องอ่าน (Scanner) เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องติดฉลากแบบมือถือ (Hand Labellers) ซีลและฉลาก (Seal& Label)ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยในการบำรุงรักษาระบบบาร์โค้ด (Maintenance) ทั้งภายหลังการขายกับลูกค้าเก่า และให้คำปรึกษาในการปรับปรุงระบบกับลูกค้าใหม่ สัดส่วนในการเติบ
|
. |
ส่วน
|
. |
Q: ทิศทางการเปิดตลาดสินค้าบาร์โค้ดในประเทศไทย และต่างประเทศในภูมิภาคนี้ |
A: บริษัท Sato ไม่ได้มีลูกค้าอยู่เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น ยังมีลูกค้าทางด้านลอจิสติกส์ ค้าปลีก อาหาร การแพทย์ ฯลฯ ซึ่งนอกจากบริษัท Sato จะเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบบาร์โค้ด (แบบแท่ง) แล้ว บริษัท Sato ยังมีระบบบาร์โค้ดแบบ 2 มิติให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งเป็นนวัตกรรมแบบล่าสุดของบาร์โค้ด ปกติบาร์โค้ดแบบแท่งจะมีความจุที่เก็บได้ 13 ตัวอักษร ในขณะที่บาร์โค้ดแบบ 2 มิติ สามารถเก็บได้ราว 50 ตัวอักษร ความแตกต่างของบาร์โค้ดทั้งสองแบบคือ บาร์โค้ดแบบแท่งหากแถบในบาร์โค้ดแถบใดแถบ
|
. |
บริษัท Sato ต้องการเปิดตลาดในกลุ่มบริษัทในประเทศไทยให้มากขึ้นโดยการประชาสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้า การลงโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ที่ประสบความสำเร็จมากคือการออกงานแสดงสินค้าในงาน Assembly Technology ในปีที่ผ่านมา มีลูกค้าที่เป็นบริษัทในประเทศไทยติดต่อกลับเข้ามาหลายราย และการเข้าร่วมงาน Assembly Technology ในปีนี้ก็คาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดิม |
. |
สำหรับตลาดบาร์โค้ดในต่างประเทศ นอกจากที่บริษัท Sato จะมีโรงงานและสำนักงานอยู่ที่มาเลเซียแล้ว ยังมีโรงงานล่าสุดอยู่ที่เวียดนามด้วย ซึ่งกำลังจะเปิดสำนักงานที่เวียดนามด้วยในไม่ช้านี้ ส่วนในประเทศจีนมีสำนักงานอยู่แล้วสองแห่งที่เซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับการสร้างโรงงานในจีน |
Q: ผลประกอบการและการเติบ
|
A: บริษัท Sato เปิดทำการมาปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว บริษัทมีการเติบ
|
. |
Q: กลยุทธ์ทางการตลาดที่ บริษัท Sato เป็นผู้นำด้านบาร์โค้ด |
A: บริษัท Sato เป็นทั้งผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ ฉลาก และระบบซอฟต์แวร์เอง ดังนั้นลูกค้าจะได้รับความสะดวกอย่างมากเมื่อใช้บริการของเรา นอกจากนี้เรายังสามารถออกแบบระบบบาร์โค้ดตามคำสั่งของลูกค้าได้ บริษัท Sato ถือได้ว่ามีจุดแข็งหลายด้าน กล่าวคือ ผลิตได้เอง ดูแลรักษาได้ ทำตามสั่ง และต้นทุนต่ำ |
. |
Q: นวัตกรรมล่าสุดในระบบบาร์โค้ดของ บริษัท Sato คืออะไร |
A: นอกจากบาร์โค้ดแบบ 2 มิติที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว บริษัท Sato ยังมีการนำระบบ RFID (Radio Frequency Identifications) มาใช้ในการระบุตัวตนผลิตภัณฑ์ ซึ่ง RFID เป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ต้นทุนยังสูง RFID จะมีข้อเหนือกว่าบาร์โค้ดทั้งแบบแท่งและ 2 มิติ โดยที่เครื่องอ่านไม่จำเป็นต้องมองเห็นกันก็สามารถอ่านได้ด้วยคลื่นวิทยุ คือสินค้าอยู่ในกล่องโดยไม่ต้องเปิดฝา ก็สามารถทราบได้ว่ามีสินค้าอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ขณะที่เครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบแท่งและ 2 มิติต้องมองเห็นแถบเพื่อสแกนด้วยลำแสง |
. |
ปกติระบบบาร์โค้ดก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอยู่แล้ว RFID ก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นไปอีก ใน RFID บางแบบยังสามารถเขียนและลบข้อมูลได้ด้วย เพียงแต่ว่าขณะนี้การลงทุนระบบ RFID ในช่วงต้นยังมีราคาสูง แต่ก็มีลูกค้าของเราบางรายเริ่มใช้บ้างแล้ว ปัจจุบันบาร์โค้ดแบบแท่งยังครองตลาดอยู่ถึง 92 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ RFID ยังไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ |
. |
Q: แนวโน้มของเทคโนโลยีบาร์โค้ดจะเป็นไปอย่างไร |
A: แม้ว่า RFID จะเป็นเทคโนโลยีที่ดี แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก เนื่องจากราคาระบบยังค่อนข้างสูง ขณะที่ระบบบาร์โค้ดเองผ่านการพัฒนาและใช้งานมานาน การจะเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ต้องใช้เวลาเช่นกัน แม้แต่ระบบบาร์โค้ดแบบ 2 มิติเองก็ยังมีปัญหาที่เครื่องอ่านราคายังสูงกว่าเครื่องอ่านบาร์โค้ดแท่งถึง 2 เท่า ก็เลยยังไม่เป็นที่แพร่หลาย |
. |
Q: อุตสาหกรรมที่ใช้ระบบบาร์โค้ดของบริษัท Sato มีอะไรบ้าง |
A: ในทุกอุตสาหกรรมแทบจะหลีกไม่พ้น เนื่องจากต้องมีการเก็บข้อมูลวัตถุดิบ การเบิกจ่าย การสต็อกสินค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า ฯลฯ สำหรับอุตสาหกรรมที่บริษัท Sato เข้าไปให้บริการได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต ลอจิสติกส์ ค้าปลีก โรงพยาบาล การออกตั๋ว ฯลฯ |
Q: แนวโน้มตลาดภายในปี 2008 ที่บริษัท Sato จะเป็นไป |
A: บริษัทเห็นว่าตลาดเรื่องการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) น่าจะมีการขยายตัวมากขึ้น ระบบของเราจะเข้าไปช่วยได้อย่างมาก สำหรับปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจจะไม่ส่งผลกับการดำเนินการของเรานัก เพราะถึงอย่างไรผู้ประกอบการก็ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสีย ในการผลิตอยู่แล้ว และบาร์โค้ดก็เป็นการลงทุนที่ต่ำแต่คุ้มค่า |
. |
Q: เหตุผลของการเข้าร่วมงาน Assembly Technology 2008 ของบริษัท Sato ในครั้งนี้ |
A: เราต้องการนำเสนอโซลูชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าที่มาชมงานในปีนี้ โดยเราจะนำเสนอระบบบาร์โค้ดแบบ 2 มิติ และระบบ RFID ให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองภายในงาน โดยมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมไทยพัฒนาขึ้น |
. |
จากที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานและความสำเร็จของ บริษัท ซา
|