โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี เริ่มฟื้นตัวจากการลงทุนธุรกิจใหม่จากธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม ผนวกกับธุรกิจเดิมคือธุรกิจฝังกลบขยะที่รายได้ทยอยดีขึ้น คาดไตรมาส 2/51 มีกำไร เดินหน้าธุรกิจกำจัดขยะปนเปื้อนสารปรอท
|
บมจ.โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี(1999)หรือ PRO เริ่มฟื้นตัวจากการลงทุนธุรกิจใหม่จากธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม ผนวกกับธุรกิจเดิมคือธุรกิจฝังกลบขยะที่รายได้ทยอยดีขึ้น คาดในไตรมาส 2/51 เริ่มพลิกมีกำไร หลังบริษัทขาดทุนนานกว่า 2 ปี ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังเดินหน้าธุรกิจกำจัดขยะปนเปื้อนสารปรอท คาดจะเริ่มดำเนินการได้ไตมาส 1/51 |
. |
ส่วนธุรกิจกำจัดขยะกากอิเล็กทรอนิกส์ชะลอออกไปปีหน้า เพราะมีคู่แข่งเข้ามามาก และบริษัทกำลังคิดหันไปจับโครงการใหม่ทีเกี่ยวข้องกับธุรกิจกำจัดขยะ คาดสรุปได้ในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าล้างขาดทุนสะสมให้หมดภายในปี 52 โดยขณะนี้มีจำนวนขาดทุนสะสมอยู่ 229 ล้านบาท(ณ สิ้นไตรมาส 1/51) โดยปีนี้จะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้น จำนวน 138.8 ล้านบาท หักกลบออกไป |
. |
ส่วนที่เหลือก็จะนำกำไรจากการดำเนินงานไปล้างขาดทุนต่อไป "คิดว่าปีนี้มีกำไรอยู่แล้ว ไตรมาส 2 ก็เริ่มกลับมาเป็นกำไร ปีนี้น่าจะมีกำไรแต่ยังอาจไม่เยอะ ถือว่าปีนี้เราเริ่ม Turnaround"นายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการสายบัญชีการเงินและบริหารสำนักงาน PRO กล่าวกับ"อินโฟเควสท์" |
. |
โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยีประสบผลขาดทุนตั้งแต่ปี 49 โดยขาดทุน 157.31 ล้านบาท และในปี 50 ขาดทุน 131.31 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจฝังกลบขนะใน จ.สระแก้วถูกปิดจากปัญหาขัดแย้งกับประชาชนในพื้นที่ จนกระทั่งเพิ่งได้ต่อใบอนุญาตใหม่อีก 5 ปี (ปี 50-54) |
. |
สำหรับไตรมาส 1/51 บริษัทยังขาดทุน 20.08 ล้านบาท แต่ก็ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะธุรกิจเดิม ที่สระแก้วยังกลับมาไม่ถึงจุดคุ้มทุน รายได้ยังไม่กลับมาอยู่ในภาวะปกติ และธรุกิจใหม่ยังมีรายได้น้อย |
. |
นายเกรียงไกร กล่าวว่า บริษัทคาดว่า ปี 51 จะมีกำไรจากธุรกิจเดิมคือ ธุรกิจฝังกลบขยะที่จ.สระแก้ว ซึ่งเริ่มมีรายได้ทยอยเข้ามาแล้ว หลังเปิดดำเนินการจริงในเดือนพ.ย.50 โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากธุรกิจนี้เข้ามาประมาณ 200-250 ล้านบาท |
. |
ส่วนธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ จะมีรายได้เข้ามามากในไตรมาส 2/51 และ 3/51 โดยโรงงานใหม่เริ่มจะผลิต ก็จะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 เท่าตัวจากเดิมมียอดขาย 200 ล้านบาท ก็จะเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เต็มปีในไตรมาส 3/52 โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียมประมาณ 300 ล้านบาท |
. |
ดังนั้น รวมทั้งปี 51 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 500-550 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้า รายได้จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 900 ล้านบาท จากธุรกิจฝังกลบขยะที่รายได้กลับเข้ามสู่ภาวะปกติที่ประมาณกว่า 300 ล้านบาท และ ธุรกิจรีไซเคิลอลูมิเนียม อีก 600 ล้านบาท และยังธุรกิจกำจัดสารปนเปื้อนปรอทที่ได้ร่วมทุนกับเนเธอร์แลนด์ โดยบริษัทถือ 80% ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาปีหน้าประมาณเกือบ 1 พันล้านบาท ขณะนี้โรงงานเริ่มก่อสร้างคาดว่าจะเปิดได้ในไตรมาส 1/52 ซึ่งใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท |
. |
"แนวโน้มธุรกิจในปีนี้ เราจะกลับมาในธุรกิจเดิม แน่นอนคงจะไม่กลับมาเหมือนเดิม เราก็เติมไปด้วยธุรกิจใหม่ ที่เราเทคโอเวอร์มา ทำให้เราสามารถพลิกเป็นกำไรได้ รวมทั้งในปีหน้า ธุรกิจใหม่จะเพิ่มขึ้น ธุรกิจเดิมก็จะเรียบร้อย คาดว่าจะกลับมาปกติ" นายเกรียงไกร กล่าว |
. |
เมื่อปลายปี 50 บริษัทได้เข้าเทคโอเวอร์ บริษัท เจ ที เอส อลูมิเนียม แอนด์ เมทเทิล จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหล่อหลอมอลูมิเนียมสำเร็จรูป ,นำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) จากเศษอลูมิเนียม และขี้เถ้าอลูมิเนียม สินค้าหลัก คือ แท่งอลูมิเนียมขายให้อุตสาหกรรมที่ใช้อลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบในการผลิตเช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ เป็นต้น |
. |
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การลงทุนธุรกิจกำจัดกากขยะอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทจะชะลอไปก่อนถึงปีหน้า เพราะเห็นภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้ออำนวย และมีธุรกิจที่หลายรายเข้ามาแข่งขัน มีผู้เข้ามาเล่นในตลาดมาก อาจทำให้ราคาค่าบริการเสียไป ซึ่งสถานการณ์อย่างนี้เคยเกิดขึ้นที่สิงคโปร์แล้ว |
. |
"ธุรกิจนี้ชะลออกการลงทุนออกไปปีหน้า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ซึ่งตัวเงินเลงทุนคงปรับลดลง และต้องการรอให้ผู้เล่นรายใหม่ที่ทำไม่เป็นที่ขาดประสบการณ์ ให้ตายออกจากตลาดไปก่อน ตอนนี้มีคนเข้ามาเยอะแยะ ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้"นายเกรียงไกร กล่าว |
. |
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินลงทุนขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ เพราะอยู่ระหว่างการปรับแผนอยู่ จากเดิมตั้งไจลงทุนประมาณ 200 กว่าล้านบาท ประกอบกับ ในปีนี้บริษัทก็มีโครงการอื่นที่น่าสนใจกว่า เป็นโครงการใหม่ 1 โครงการ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องธุรกิจกำจัดขยะ อาจจะสรุปได้ปีนี้ |
. |
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังมองว่า ธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรม ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ซึ่งบริษัทมีศักยภาพเติบโตหลายเท่า ขณะเดียวกันก็มีจำนวนคู่แข่งมากขึ้น อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดในธุรกิจนี้ คือความเข้มงวดของภาครัฐ ซึ่งขยะอุตสาหกรรมของไทยมีจำนวนมากที่จะยังอยู่นอกระบบ มากกว่า 1.4 ล้านตัน หากภาครัฐเข้มงวดอุตสาหกรรมนี้ก็จะเติบโตด้วย แต่ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ภาครัฐก็มุ่งไปที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจก่อน และการเข้าไปเข้มงวดก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการด้วย "ศักยภาพธุรกิจกำจัดขยะอุตสาหกรรมเติบโตมีหลายเท่า เช่น ขยะอันตราย มีอยู่ทั้งหมด 1.4 ล้านต้น แต่น่าจะเข้าสู่ระบบแค่ 4 แสนตันเอง"นายเกรียงไกร กล่าว |
. |
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากเงินกู้สถาบันการเงิน เพื่อนำเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพะราะปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ต่ำอยู่ประมาณ 0.3-0.4 เท่า นอกจากนี้ การเข้าร่วมทุน Enviro-Hub Holding Limited ซึ่งเป็นพันธมิตรสิงคโปร์ เข้าถือหุ้น PRO ในสัดส่วน 23% ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งจะเข้ามาขยายธุรกิจใหม่ และแก้ไขปัญหาธุรกิจ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านฐานทุน |
. |
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีขาดทุนสะสมอยู่จำนวน 229 ล้านบาท(ณ สิ้นไตรมาส 1/51) บริษัทมีแผนจะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ 138.9 ล้านบาท มาหักกลบออกไปภายในปีนี้ ส่วนที่ยังเหลือจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสมต่อไป และคาดว่าภายในปี 52 จะล้างผลขาดทุนสะสมได้หมด ฉะนั้น ในช่วงปี 51-52 บริษัทจึงยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ |