บทบาทที่สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองในขณะที่ทฤษฎีของภาครัฐเชิงพัฒนาเห็นว่าบทบาทของภาครัฐในการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของตนเองมีความ สำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมนี้ โดยประเทศในเอเชียใต้ไม่เพียงแต่ยืมเทคโนโลยีหรือเอาเทคโนโลยีใหม่กว่าจากตะวันตกมาใช้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของตนเองอีกด้วย
บทบาทที่สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองในขณะที่ทฤษฎีของภาครัฐเชิงพัฒนาเห็นว่าบทบาทของภาครัฐในการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของตนเองมีความ สำคัญยิ่งต่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมนี้ โดยประเทศในเอเชียใต้ไม่เพียงแต่ยืมเทคโนโลยีหรือเอาเทคโนโลยีใหม่กว่าจากตะวันตกมาใช้เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเท่านั้น ภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของตนเองอีกด้วย |
. |
เนื่องจากนักวางแผนการพัฒนาพบว่าวิธีการที่จะยกระดับห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมคือการปรับปรุงขีดความ สามารถทางเทคโนโลยีของประชากรภายในประเทศ ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้พัฒนากลไกควบคุม (Control Mechanism) เชิงสถาบัน เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ดังกล่าว โดยกลไกควบคุมนี้ให้เงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจทางภาษีจำนวนมากต่อ |
. |
โครงการวิจัยและกิจกรรมทางการผลิตที่ได้รับการคัดเลือกและปกป้องตลาดภายในประเทศเพื่อธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ และลงทุนมหาศาลในสถาบันการวิจัยของ รัฐ การศึกษาและการฝึกอบรมด้านอุตสาหกรรมความสำเร็จของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ก็ใช้วิธีการแบบเดียวกันนี้ นอกจากต้นทุนแรงงานในจีนต่ำกว่าในยุโรปและอเมริกาเหนือมาก และต่ำกว่าในกลุ่มประเทศในเอเชียไม่มากนักที่สำคัญคือสิ่งจูงใจพิเศษจากภาครัฐเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ เช่น การอุดหนุนที่ดิน การอุดหนุนเงินกู้ ส่วนลดสำหรับด้านสาธารณูปโภคและโลจิสติกส์ เป็นต้น |
. |
นอกจากผลประโยชน์ด้านการแข่งขันแล้วการมีฐานการผลิตในจีนยังได้ประโยชน์ทางโลจิสติกส์อย่างเห็นได้ชัดในด้านการให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากกฎระเบียบของจีน เช่น กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฉบับใหม่ (Government Procurement Law: GPL) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อมกราคม 2003 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ออกแบบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นต่อการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล โดยบริษัทต่างชาติที่มีสาขาเป็นเจ้าของเองทั้งหมดในจีนจะได้รับสิทธิประโยชน์เท่ากับบริษัทท้องถิ่น นอกจากนี้เพื่อเป็นการ |
. |
เรียนรู้จากแหล่งความรู้จากต่างชาติ กลไกนี้ใช้การร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างธุรกิจต่างชาติและธุรกิจท้องถิ่นเพื่อกำหนดความต้องการสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ในการผลิตและใช้การเข้าถึงตลาดภายในประเทศเพื่อค้าขายกับธุรกิจต่างชาติในเทคโนโลยีที่เข้าใหม่ |
. |
3. บทเรียนและข้อสังเกตของผู้สรุป |
เซมิคอนดักเตอร์ได้กลายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภค สื่อสารคมนาคมและคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงเครื่องมืออุตสาหกรรมและระบบทางทหารที่ทันสมัย ดังนั้นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จึงเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สามารถสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ และต่อความมั่นคงของชาติได้อีกด้วย |
. |
3.1 บทเรียนที่ประเทศไทยได้รับ
|
ผลความสำเร็จของจีนชี้ให้เห็นว่าการขยายตัวอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์/เซมิคอนดักเตอร์ของจีนขึ้นอยู่กับอุปทานตามปกติของวงจรรวม (ไอซี) เพื่อตลาดส่งออก ในขณะเดียวกัน อุปสงค์ภายในประเทศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้สร้างความต้องการในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ และอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้ยอดขาย chips ในจีนสูงขึ้นมากคิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ถ้าไม่มีความต้องการนี้ |
. |
อุตสาหกรรมไอซีของจีนก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังอยู่ห่างไกลจากการเป็นผู้สร้างนวัตกรรมในด้านการออกแบบ chip เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทำให้คาดว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดรองจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่นสาเหตุสำคัญมาจากจีนใช้นโยบายอุปสงค์เพิ่มอุปทานภายในประเทศ |
. |
โดยเฉพาะสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology:ICT)จนกลายเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกและได้สร้างอุปสงค์ปลายทาง (End Use Demand)จำนวนมหาศาลแก่เซมิคอนดักเตอร์ (ไอซี) แต่ความสามารถของจีนตามลำพังสามารถบรรลุได้เพียงประมาณร้อยละ 30 ของอุปสงค์ภายในประเทศ รัฐบาลจีนจึงได้พัฒนากลไกควบคุม(Control Mechanism) เชิงสถาบัน เพื่อบรรลุความสามารถในการผลิต |
. |
โดยกลไกบังคับนี้ให้เงินอุดหนุนและสิ่งจูงใจทางภาษีจำนวนมากต่อโครงการวิจัยและกิจกรรมทางการผลิตที่ได้รับการคัดเลือกและปกป้องตลาดภายในประเทศเพื่อธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ลงทุนมหาศาลในสถาบันการวิจัยของ รัฐ การศึกษาและการฝึกอบรมด้านอุตสาหกรรม ตลอดจนมีนโยบายในการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ทั้งที่เป็นภาษีและมิใช่ภาษี เพื่อให้การลงทุนจากต่างชาติ (บริษัทข้ามชาติ) มาตั้งโรงงานผลิตไอซีในจีน |
. |
นโยบายดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยในด้านการสูญเสียโอกาสในการผลิต การตลาด การลงทุน และเทคโนโลยี ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก โดยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยที่มีแค่การประกอบและทดสอบ(เป็นขั้นตอนที่มีมูลค่าเพิ่มน้อย) มีแนวโน้มจะย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศจีนสูง หากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรต่อไป อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ได้รับบทเรียนจากจีนที่ควรนำมาพิจารณาต่อไปดังนี้ |
. |
1) บทเรียนบทแรกคือไทยควรใช้นโยบายที่นำด้วยอุปสงค์ (Demandled Policy) เพื่อสร้างอุปทานภายในประเทศ แทนนโยบายแบบเดิมที่นำด้วยอุปทาน (Supplyled Policy) โดยการเพิ่มความต้องการภายในประเทศ และสร้างความเป็นมืออาชีพทางวิศวกรรม(Engineering Talent) เพื่อสร้างบรรยากาศให้พร้อมสำหรับการผลิตเพื่อดึงนักลงทุนทั้งจากต่างประเทศให้มาตั้งโรงงาน เนื่องจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง มีประเภทและขนาดของผลิตภัณฑ์ต่างกันจำนวนหลากหลาย ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จึงมีน้อยรัฐบาลที่จะมีทรัพยากรด้านการเงิน ทุนมนุษย์ หรือองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีที่จะตามทันการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงดังกล่าว |
. |
ดังนั้นรัฐบาลจะไม่ลงทุนเอง แต่อาจลงทุนร่วมกับบริษัทข้ามชาติเพื่อวัตถุประสงค์การยืมใช้เทคโนโลยีและการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างไรก็ตาม ความสำคัญของการผลิตแผ่นวงจรรวม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ (Upstream industry) ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง ที่ขณะนี้ยังไม่มีการผลิตในประเทศไทย หากพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ แล้วมีความสำคัญมาก |
. |
(1) ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยคิดเป็นสัดส่วนการผลิตเพียงร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการผลิตทั่วโลก (สหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีการผลิตมากที่สุดรวมกันคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 50 ในภูมิภาคอาเซียนมีสิงคโปร์ผลิตได้ร้อยละ 4 และมาเลเซียร้อยละ 3.1) การผลิตแผ่นวงจรรวมขึ้นอยู่กับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้นการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความสำคัญในด้าน |
|
. |
(2) ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบเอเชียได้ให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการผลิตแผ่นวงจรรวม และรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งในด้านเงินทุน เทคโนโลยีบุคลากร และสาธารณูปโภค เช่น จีน โดยรัฐได้ให้สิ่งจูงใจพิเศษเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ เช่น การอุดหนุนที่ดิน การอุดหนุนเงินกู้ ส่วนลดสำหรับด้านสาธารณูปโภคและโลจิสติกส์ เป็นต้นเกาหลีใต้เริ่มในปี ค.ศ. 1970 โดยรัฐจัดหาสินเชื่อ เงินให้เปล่า และทุนวิจัยแก่เอกชน ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำรายใหญ่ของโลก ไต้หวัน เริ่มในปี ค.ศ. 1976 โดยรัฐร่วมทุนกว่าร้อยละ 40 ในการก่อตั้งโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวม ปัจจุบันมีโรงงานอยู่รวม 20 แห่งสิงคโปร์ เริ่มในปี ค.ศ. 1985 รัฐบาลร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อลงทุนในโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวมหลายแห่ง |
. |
ในปัจจุบันมีโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวม 5 แห่ง และกำลังก่อสร้างอีก 7 แห่งรัฐบาลได้ตั้งกองทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมสิงคโปร์ให้เป็น Wafer Fabrication Hub ของเอเชียในปี ค.ศ. 2005 และมาเลเซีย รัฐบาลได้ลงทุนก่อตั้งโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวมสองแห่ง คือ โรงงาน First Silicon ลงทุน 1,000-1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมี Sharp จาก ญี่ปุ่นร่วมเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีและการตลาด ส่วนอีกโครงการคือ Silterra ลงทุน 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มี LSI Logic จากสหรัฐอเมริการ่วมเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยี ในขณะที่จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และสหรัฐฯ ต่างได้พัฒนาโครงการสิ่งจูงใจพิเศษเพื่อดึงดูดและรักษาเงินลงทุนของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของต่างชาติ ประเทศไทยขาดแรงจูงใจดังกล่าวที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมสำคัญนี้ |
. |
(3) ภาวะตลาดของแผ่นวงจรรวม โดยตลาดโลกที่นับวันจะมีการขยายตัวสูงขึ้น เนื่องจากแผ่นวงจรรวมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด เช่น อุปกรณ์โทรคมนาคม และคอมพิวเตอร์ ซึ่งแนวโน้มของธุรกิจในระยะที่ผ่านมาโรงงานผู้ผลิตไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการของตลาด ปัจจุบันอุปสงค์ประมาณร้อยละ 15 ของแผ่นวงจรรวม ต้องการเทคโนโลยีการผลิตที่ระดับ 0.5 ไมครอน ซึ่งในกลุ่มนี้มีประเทศจีนครองตลาดกว่าร้อยละ 50 แต่จีนมีจุดอ่อนอยู่ที่การใช้เครื่องจักรเก่า ในขณะที่ตลาดภายในของไทยมีความต้องการมาก แต่เนื่องจากยังไม่มีการผลิตแผ่นวงจรรวมได้เองในประเทศจึงต้องนำเข้าทั้งหมด มูลค่าการนำเข้าในปี 2005 เท่ากับ 321,254 ล้านบาท (มากกว่ามูลค่าการส่งออกอยู่ 99,804 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าการนำเข้าส่วนประกอบของอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ถึง 116,540 ล้านบาท การนำเข้าส่วนนี้จะลดลงถ้ามีโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวมภายในประเทศ |
. |
(4) การลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตแผ่นวงจรรวม จากที่เคยมีผู้ศึกษาไว้ทราบว่าแนวทางการลงทุนที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน ให้ผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าสนใจ คือ การลงทุนตั้งโรงงานผลิตแผ่นวงจรรวมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว ขนาดลายวงจร 0.18-0.25 ไมครอน โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 25,000 — 30,000 แผ่นต่อเดือน ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 1-1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะมีกำไรอยู่ระหว่าง 193-280 ล้านเหรียญสหรัฐฯ IRR ร้อยละ 16-24 และระยะเวลาคืนทุนอยู่ระหว่าง 4-5 ปี |
. |
(5) ห่วงโซ่มูลค่า และห่วงโซ่อุปทาน ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย ห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะเหมือนกันหมด ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมผลิตไอซี (ดังแสดงไว้ในแผนภาพที่ 1) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ |
|
|
|
|
|
|
|
|
. |
3.2 ข้อสังเกตของผู้สรุปและวิเคราะห์ |
จากการศึกษาความสำเร็จของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ผู้สรุปและวิเคราะห์มีข้อสังเกตบางประการ ดังนี้ |
|
. |
4. แนวทางการปรับตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย |
เนื่องจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นฐานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มผลิตภาพ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และความเจริญเติบโตในระยะยาว ผู้สรุปและวิเคราะห์จึงขอนำ เสนอแนวทางในการปรับตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย เป็นสองแนวทางหลัก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน smiling curve ของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต (ดังแผนภาพที่ 3) โดยมุ่งเน้นบทบาทของภาครัฐที่มีความสำคัญและจำเป็นเป็นพิเศษต่อการปรับตัวของอุตสาหกรรมฯ |
|
. |
1) ชักจูงผู้ร่วมทุน (Joint Venture) |
|
. |
2) การพัฒนาบุคลากร |
บุคลากรเป็นหัวใจสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมไอซี ขณะนี้ประเทศไทยยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ จึงจำเป็นต้องมีแผนพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในด้านการออกแบบและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในจำนวนที่เพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมฯต่อไปทั้งนี้ในการดำ เนินงานโรงงานผลิตไอซี 1 โรงในระดับเงินลงทุน 40,000-50,000 ล้านบาท ต้องการพนักงานประมาณ 400-1,000 คน โดยจะเป็นฝ่ายบริหารและวิศวกรประมาณ 150-250 คน ที่เหลือเป็นนักเทคนิค ช่างควบคุมเครื่องจักร และพนักงานอื่นๆ วิศวกรสำหรับโรงงานจำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านอิเล็กทรอนิกส์และได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสม |
. |
ปัจจุบันประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยมากกว่า 50 แห่งที่มีการสอนในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และมีสถาบันการศึกษาที่สามารถผลิตนักเทคนิคและช่างควบคุมเครื่องจักรเพื่อป้อนให้แก่อุตสาหกรรมนี้ ในช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจากบริษัทของผู้ร่วมทุนต่างชาติมาฝึกและถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่พนักงานไทย แต่ในระยะยาวประเทศไทยจะมีศักยภาพเพียงพอ นอกจากนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ศูนย์นี้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศแล้วบางส่วน |
. |
3) การพัฒนาเทคโนโลยี |
การร่วมทุนกับต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดกระบวนการสรรหาและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บุคลากรของไทย แนวทางดำเนินการคือเชิญชวนผู้ร่วมลงทุนต่างชาติที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีมาเข้าร่วมทุน หรืออาจให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนร่วมกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี |
. |
4) การสนับสนุนสาธารณูปโภค |
โรงงานผลิตไอซีแต่ละโรงจำเป็นต้องใช้ระบบสาธารณูปโภคที่มีมาตรฐานสูงในราคาที่เหมาะสม เช่น น้ำที่มีความสะอาดสูงมาก ปริมาณ 5,000 ลบเมตรต่อวัน ไฟฟ้าที่มีแรงดันคงที่และมีกำลังไฟฟ้าประมาณ 10-14 เมกกะวัตต์ พื้นที่และอาคาร ประมาณ 220,000 ตารางฟุต และถนนภายในรัศมี 1-2 กม. จะต้องมีความราบเรียบเพื่อลดความสั่นสะเทือน เพราะแผ่นวงจรรวมต้องการความแม่นยำสูง สิ่งแวดล้อมต้องมีระบบกำจัดของเสียอุตสาหกรรม รัฐบาลจึงต้องให้การประสานการจัดหาหรือร่วมทุนด้านสาธารณูปโภคทั้งการจัดการของเสีย |
. |
5) มาตรการอื่นเพื่อสนับสนุนการผลิต |
เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมฐานรากและเป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า รัฐบาลจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมโดยมีมาตรการที่ครบวงจรในด้านต่างๆ แก่กิจการลงทุนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่มาตรการด้านสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุนการสนับสนุนด้านเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร เป็นต้นทั้งนี้ ได้มีผู้วิเคราะห์ว่าประเทศไทยมีโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำดังกล่าวค่อนข้างมาก ด้วยเหตุผลทางด้านการผลิต เทคโนโลยี อุปสงค์ และศักยภาพด้านบุคลากรดังนี้ |
|
. |
ถึงแม้โอกาสของประเทศไทยยังมีอยู่มาก แต่ก็ควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน 3 ประการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้แก่ 1) ความเข้มข้นทางความรู้ที่เพิ่มขึ้นและสูงขึ้น 2) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเทคโนโลยีและตลาด และ 3) กระแสโลกาภิวัตรที่ขยายตัวมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดรูปแบบการแข่งขันใหม่ที่ผู้ชนะได้หมด (Winnertakes all competitive model) |
ที่มา : สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |