แอพพลิเคชัน เป็นตัวผลักดันที่สำคัญในกระบวนการธุรกิจและการตัดสินใจ เนื่องจากสิ่งนี้มีผลต่อการเติบโตขององค์กร ความเสี่ยง และการได้รับผลกำไร การลงทุนด้านไอทีและธุรกิจโดยรวมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แอพพลิเคชัน เป็นตัวผลักดันที่สำคัญในกระบวนการธุรกิจและการตัดสินใจ เนื่องจากสิ่งนี้มีผลต่อการเติบโตขององค์กร ความเสี่ยง และการได้รับผลกำไร ก่อนหน้านี้การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของผู้บริหารอาวุโสจะเน้นไปที่การนำส่งข้อมูลที่ถูกต้องไปยังบุคคลที่เหมาะสม (หรือแอพพลิเคชัน) ในเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นการลงทุนด้านไอทีและธุรกิจโดยรวมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด |
. |
อย่างไรก็ตาม การขยายแอพพลิเคชัน อย่างต่อเนื่องและจำนวนข้อมูลที่แอพพลิเคชัน เหล่านี้สร้างขึ้นมา กำลังเพิ่มภาระให้กับพนักงานและมีผลต่องบประมาณของบริษัท โดยแต่ละแอพพลิเคชัน ที่นำมาใช้ในองค์กรก็เพื่อตอบสนองความต้องการด้านไอทีที่ไม่ซ้ำกันภายใต้เงื่อนไขของต้นทุน ความจุ ประสิทธิภาพ และระดับความพร้อมใช้งาน การปรับใช้โซลูชัน ที่ทำให้บริษัทใช้สินทรัพย์ให้เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการใช้งานแอพพลิเคชัน ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และปรับปรุงประสิทธิภาพของแอพพลิเคชัน ที่มีอยู่ ตลอดจนลดต้นทุนได้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก |
. |
การขยายแอพพลิเคชัน อย่างต่อเนื่องและปริมาณข้อมูลที่แอพพลิเคชันเหล่านี้สร้างขึ้นมาเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความเครียดกับพนักงานในฝ่ายบริหารไอทีและงบประมาณของบริษัท โดยที่ต้นทุน ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และระดับความพร้อมใช้งานของแอพพลิเคชันที่มีอยู่อย่างหลากหลายในองค์กรนั้น เกิดขึ้นจากความต้องการที่แตกต่างในสภาพแวดล้อมไอทีองค์กร การใช้สินทรัพย์สตอเรจให้เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่รวดเร็วของแอพพลิเคชันใหม่ และยังต้องสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของแอพพลิเคชัน ที่มีอยู่และลดต้นทุนได้จึงเป็นประเด็นจำเป็นต่อผู้บริหารไอทีเมื่อพวกเขาต้องเลือกโซลูชันสตอเรจใหม่ |
. |
หลายบริษัทกำลังใช้ชุดแอพพลิเคชัน เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้องค์กรปัจจุบันประสบความสำเร็จเห็นได้จากผลการศึกษาของบริษัท ไอดีซี ที่ชื่อว่า 2005 Trends in Storage Survey (การสำรวจแนวโน้มของสตอเรจในปี 2005) ได้ทำการสำรวจจากผู้บริหารไอทีจำนวน 270 คนของบริษัทในสหรัฐที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน และพบว่าแอพพลิเคชันด้านธุรกรรม เช่น ERP, CRM และ OLTP (OnLine Transaction Processing) เป็นกลุ่มที่ใช้เนื้อที่ในสตอเรจองค์กรมากที่สุด (จำนวน 32.1% ของความจุโดยเฉลี่ย) ขณะที่เซิร์ฟเวอร์จัดการไฟล์และ การพิมพ์ใช้น้อยมาก (แค่ 2.8%) และน้อยกว่าเว็บเซิร์ฟเวอร์เล็กน้อย ส่วนชุดแอพพลิเคชัน ใหม่ ได้แก่ อีเมล์และเนื้อหาดิจิทัลใช้ความจุของสตอเรจ 7.7% และ 10.8% ตามลำดับ นั่นหมายความว่าผู้บริหารด้านไอทีจะต้องปรับใช้สถาปัตยกรรมสตอเรจที่สนับสนุนความต้องการที่แตกต่างกันในองค์กร และต้องลดความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน ลดการบริหารจัดการมากเกินไป และต้องทำให้ต้นทุนต่ำลงด้วย |
. |
การสำรวจครั้งนี้ยังพบด้วยว่าผู้ตอบแบบสอบถามกำลังจัดสรรความจุของสตอเรจมากถึง 1 ใน 4 (27.6%) สำหรับป้องกันข้อมูลที่จัดเก็บในดิสก์ หลายบริษัทกำลังกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลตลอดอายุการใช้งานทั้งในระยะสั้นและยาว |
. |
ผู้บริหารเหล่านี้บอกว่าแอพพลิเคชันที่ผลักดันให้เกิดการขยายตัวของสตอเรจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การป้องกันข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลที่เสียหาย (50.2%) ตามมาด้วยความต้องการของระบบเก็บข้อมูลระยะยาว (46.8%) นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชัน ใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากอีกสองรายการ นั่นคืออีเมล์และเนื้อหาดิจิทัล ดังนั้นองค์กรจึงต้องพัฒนาแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถป้องกันข้อมูลและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องการหุ้นส่วนสตอเรจที่สามารถส่งมอบโซลูชัน สตอเรจที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแอพพลิเคชัน ต่างๆ นั้นจะพร้อมใช้งานโดยที่ปริมาณข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมากต้องมีความเป็นเอกภาพด้วย |
. |
ในระหว่างปี 2548-2551 บริษัท ไอดีซี คาดการณ์ว่าความจุสตอเรจองค์กรที่บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกต้องการใช้ต่อปีจะเพิ่มขึ้น 367% จาก 1,786 เพตาไบต์ เป็น 6,652 เพตาไบต์ นอกจากนี้ ผู้จัดการไอทียังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะไม่เพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อมาจัดการกับความจุของสตอเรจที่เพิ่มเกือบสี่เท่าตัวนี้ ด้วยภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของธุรกิจบังคับให้ผู้บริหารต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายของระบบสตอเรจใหม่ และหันมาให้ความสำคัญกับการใช้สินทรัพย์สตอเรจที่มีอยู่แล้วให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด ดังนั้นจึงต้องมองหาโซลูชัน ด้านการบริหารจัดการที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องสตอเรจ ข้อมูล และจัดการกับแอพพลิเคชัน ที่หลากหลายในองค์กรให้ได้ |
. |
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาในเทคโนโลยีความจุสูงและต้นทุนต่ำได้ส่งเสริมความสามารถของสตอเรจข้อมูล ลดต้นทุน และก่อให้เกิดแนวคิดสตอเรจแบบชั้นที่สามารถใช้งานแอพพลิเคชัน ที่แตกต่างกันได้ในองค์กรเดียว |
. |
ในการสำรวจของบริษัทไอดีซีพบว่าการรวมระบบสตอเรจเข้าด้วยกัน ก็เพื่อให้เกิดความจุที่เพิ่มขึ้น และสิ่งนี้ได้ผลักดันให้เกิดสตอเรจแบบชั้น เนื่องจากคุ้มค่ามากขึ้นในการสำรองข้อมูลแอพพลิเคชัน ทั้งจากภายในและระยะไกล สามารถเก็บข้อมูลได้ยาวนานตามข้อบังคับของกฎหมายและเพื่อประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ด้านธุรกิจ และช่วยให้แผนกไอทีสามารถแก้ปัญหาการใช้แอพพลิเคชัน ที่แตกต่างกันในองค์กรได้ |
. |
เอโอเอส เป็นแนวโน้มใหม่ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสตอเรจ เนื่องจากเป็นการเชื่อมโยงระบบสตอเรจและแอพพลิเคชัน ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่าเมื่อบริษัทต่างๆ มองหาการลงทุนที่ทำให้สตอเรจที่มีอยู่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ พวกเขาต้องการโซลูชัน สตอเรจที่ทำให้กระบวนการจัดการแอพพลิเคชัน และไอทีง่ายขึ้น ขณะที่ช่วยส่งเสริมการใช้ประโยชน์สินทรัพย์และเสริมประสิทธิภาพแอพพลิเคชัน โดยรวมและลดต้นทุนด้วย |
. |
บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ผู้นำด้านระบบสตอเรจ (ระบบจัดเก็บข้อมูล) ซอฟต์แวร์ และบริการ ให้กับองค์กรทั่วโลกได้นำเสนอ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการสตอเรจที่ครบวงจร ภายใต้ชื่อโซลูชัน Application Optimized StorageTM หรือ (AOS) โซลูชัน นี้เหมาะกับบริษัททั้งหลายที่กำลังมองหาผลตอบแทนสูงสุดในด้านการลงทุนแอพพลิเคชัน ของพวกเขา |
. |
พื้นฐานของโซลูชัน เอโอเอส คือ TagmaStoreTM Universal Storage Platform และ Network Storage Controller ซึ่งสนับสนุนการทำงานทั้งในระดับโมดูลและระบบเสมือนจริงขนาดใหญ่พร้อมทั้งจำลองแบบข้อมูลในสภาพแวดล้อมสตอเรจแบบชั้น (การจัดเก็บข้อมูลแบบแบ่งระดับชั้น) ขององค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้โซลูชัน เอโอเอสยังมีส่วนประกอบอื่นที่สำคัญ ได้แก่ ชุดซอฟต์แวร์ HiCommand ที่ทำให้เกิดความสามารถในการปรับขนาดสตอเรจ จัดการข้อมูลและแอพพลิเคชัน ภายใต้สภาพแวดล้อมสตอเรจที่แตกต่างกัน |
. |
ความร่วมมือของมืออาชีพด้านสตอเรจอย่างบริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ และพันธมิตรของบริษัท ในการส่งมอบโซลูชัน เอโอเอสจะก่อให้เกิดพื้นฐานที่มั่นคงในการสร้างสถาปัตยกรรมสตอเรจองค์กรที่สามารถปรับขยายได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงความต้องการในแอพพลิเคชัน ขององค์กรโดยไม่ไปรบกวนกิจกรรมทางธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่หรือใช้ทรัพยากรด้านไอทีมากเกินไป |