สหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้ระเบียบการควบคุมมลพิษจากยานยนต์ โดยการจัดเขต Environmental Zone พร้อมกับติดป้ายบนยานยนต์เพื่อสำแดงประเภทมลพิษ และเฉพาะยานยนต์ที่มีป้ายติดบนกระจกหน้าเท่านั้น ที่จะสามารถขับเคลื่อนเข้าเขตพื้นที่ Environmental Zone ได้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 สหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้ระเบียบการควบคุมมลพิษจากยานยนต์ โดยการจัดเขต Environmental Zone พร้อมกับติดป้ายบนยานยนต์เพื่อสำแดงประเภทมลพิษ และเฉพาะยานยนต์ที่มีป้ายติดบนกระจกหน้าเท่านั้น ที่จะสามารถขับเคลื่อนเข้าเขตพื้นที่ Environmental Zone ได้ ซึ่งครอบคลุมยานยนต์ที่ขับผ่านพื้นที่และผู้พำนักอาศัยในเขตดังกล่าว โดยขณะนี้ได้เริ่มใช้ในเขตพื้นที่แรกที่กรุงเบอร์ลิน เมืองโคโลญน์ และเมืองสตุดการ์ด ประเทศเยอรมัน |
. |
ทั้งนี้ ระเบียบดังกล่าว ครอบคลุมยานยนต์ทุกประเภท รวมถึงยานยนต์ที่จดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่น เพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษเข้าสู่สิ่งแวดล้อม โดยป้ายสติ๊กเกอร์จะจัดทำขึ้น 3 สี ขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยสารพิษ คือ สีเขียว ครอบคุลมยานยนต์ที่ปลดปล่อยสารพิษน้อยที่สุด เช่น ยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีดีเซล หรือ Catalytic Converter สีเหลือง และสีแดง สำหรับยานยนต์ที่ใช้เครื่องดีเซลที่มีการปลดปล่อยมลพิษสูงขึ้น และกลุ่มยานยนต์ที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมจะไม่ได้รับสติ๊กเกอร์ |
. |
การยื่นขอสติ๊กเกอร์จะเป็นไปตามเอกสารการจดทะเบียน โดยสามารถยื่นขอไปที่หน่วยงาน DEKRA e.V ซึ่งเป็นตัวแทนในอียู โดยเสียค่าใช้จ่าย 15 ยูโร ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อหน่วยงานดังกล่าวตามสถานที่ตั้งและเบอร์โทรศัพท์ ดังนี้ Avenue de Cortenbergh 52 B1000 |
. |
.อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสหภาพยุโรปได้ออกระเบียบในเรื่องต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม และ Climate Change ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทย ผู้ประกอบการไทยควรต้องตื่นตัว ติดตามความเคลื่อนไหว และปรับตัวในด้านเทคโนโลยีการผลิต และการออกแบบสินค้าให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาดในสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง |
. |
อนึ่งไทยส่งออกสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปจำหน่ายในสหภาพยุโรป มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 47,700 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 ของมูลค่าการส่งออกไปสหภาพยุโรปทั้งหมดโดยในปี 2550 มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 47,970 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าส่งออก 60,371 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.54 |