น้ำมันโลกพุ่งแรงไม่หยุดแตะนิวไฮอีกครั้ง ปตท จำเป็นต้องปรับ ดีเซลในประเทศ ขึ้น 50 สต. หลังชะลอการปรับขึ้นราคาช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริโภค แต่ยังคงรับภาระสูงอยู่ติดลบถึงลิตรละ 1.60 บาท

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าสุด (22 เม.ย. 51) ว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกได้พุ่งสูงขึ้นทุกชนิด โดยราคาน้ำมันดิบ WTI, Brent, Dubai และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 119.39, 113.82, 107.90 และ 144.33 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ

เนื่องจากนักลงทุนได้เข้าเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงมีข่าวว่าบริษัทเชลล์ฯ ได้ยืนยันที่จะหยุดผลิตน้ำมันดิบ Bonny Light ปริมาณ 169,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากกองโจรติดอาวุธวางระเบิดท่อขนส่งน้ำมันในประเทศไนจีเรีย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กดดันราคาต้นทุนขายปลีกน้ำมันในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายชัยวัฒน์ เปิดเผยต่อไปว่า ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนสูงต่อเนื่องเช่นนี้ ปตท.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและพยายามรักษาระดับราคาขายปลีกในระดับเดิมให้นานที่สุด แต่จากการที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับสูงต่อเนื่องทำให้ ปตท. ต้องแบกรับภาระติดลบหรือขาดทุนถึงลิตรละ 1.61 บาท(รวมรับภาระตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน ประมาณ 2,300 ล้านบาท) ปตท. จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลทุกชนิดขึ้น 50 สตางค์/ลิตร มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (24 เม.ย. 51) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เป็นดังนี้

                                                                                  หน่วย : บาท/ ลิตร       

• น้ำมันเบนซิน พีทีที E20 พลัส                      30.09  (ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึง 6 บาท ม.ค.-มิ.ย.51)
• น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ พลัส 95       32.09  (ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึง 4 บาท)
• น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ พลัส 91        31.29  (ถูกกว่าเบนซิน 91 ถึง 3.70 บาท)
• น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 95                36.09
• น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 91                34.99
• น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที B5 พลัส               32.24  (ถูกกว่าดีเซล ถึง 0.70 บาท)
• น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที เดลต้า เอ็กซ์           32.94

นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สภาวะน้ำมันตลาดโลกนับได้ว่าวิกฤติ จึงขอร้องให้ทุกท่านประหยัดการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพราะแนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงนี้ยังคงสูงต่อเนื่อง เนื่องจากจีนมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นถึง 8% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 19 เดือนจากมาตรการคืนภาษีและการเก็บสำรองที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ในขณะที่การขาดเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศผู้ผลิตก็อาจทำให้เกิดปัญหาอุปทานที่ไม่เพียงพอ และกดดันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้