เนื้อหาวันที่ : 2008-03-28 08:28:07 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1768 views

M-Class Edition 10 รุ่นเอ็กคลูซีฟพิเศษ

มีความแตกต่างความโดดเด่นพิเศษจากรุ่นมาตรฐานด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว, ไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนและรูปลักษณ์ภายนอกที่ใช้โทนสีไททาเนี่ยมประสานสอดคล้องกลมกลืนกับไฟท้ายสีดำ ภายในเน้นตกแต่งในแบบสปอร์ตด้วยการใช้หนังแท้สีดำ

.

เมอร์เซเดส-เบนซ์เฉลิมฉลอง 10 ปีแห่งความสำเร็จของ M-Class พรีเมี่ยม SUV ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดกว่า 850,000 คันด้วยเวอร์ชันพิเศษ Edition 10 ที่มีความแตกต่างความโดดเด่นพิเศษจากรุ่นมาตรฐานด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว, ไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนและรูปลักษณ์ภายนอกที่ใช้โทนสีไททาเนี่ยมประสานสอดคล้องกลมกลืนกับไฟท้ายสีดำ ภายในเน้นการตกแต่งในแบบสปอร์ตด้วยการใช้หนังแท้สีดำ ชุดอุปกรณ์ตกแต่งแบบสปอร์ต, แป้นคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ตทำจากสแตนเลสสตีล

.

รุ่น Edition 10 ผลิตขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบ 10 ปีแห่งความสำเร็จของรถ M-Class รถยนต์ที่ปัจจุบันถูกเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกของรถยนต์แบบพรีเมี่ยม SUV เมื่อเทียบกับรุ่นที่เป็นซีรีส์โปรดักชันหรือรุ่นมาตรฐานแล้ว รุ่นพิเศษนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนรุ่นทั่วไปด้วยสัญลักษณ์ Edition 10 ที่ปีกด้านข้างให้การตกแต่งภายนอกของเวอร์ชันพิเศษนี้เป็นที่จดจำได้อย่างง่ายดายขึ้น, การออกแบบที่เป็นจุดดึงดูดสายตาและรายละเอียดทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ที่เหนือกว่า

.

จุดสำคัญประกอบด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/45 R20 V ล้ออัลลอยสีบรอนซ์ที่ออกแบบเป็นพิเศษเสริมความเป็น Edition 10 ให้เหนือระดับขึ้นไปอีกถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานหรือเพิ่มความประทับใจมากขึ้นด้วยล้ออัลลอยที่มีคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนเป็นโทนสี “Chrome shadow” ได้ในยามค่ำคืนสามารถที่จะเลือกนำมาใช้ได้ด้วยเช่นกัน พื้นภายในกรอบไฟหน้าแบบไบ-ซีนอนสีดำพร้อมระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัยและไฟตัดหมอกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพร้อมฟังค์ชันการทำงานของระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้งซึ่งทั้งหมดทำให้ด้านหน้าของ M-Class มีความโดดเด่นสะดุดตามากขึ้น

.

ส่วนด้านหน้าของ M-Class Edition 10 ยังประกอบด้วยกระจังหม้อน้ำที่ออกแบบเป็นพิเศษ กันกระแทกด้านล่างทำจากสแตนเลสสตีลซึ่งทั้งคู่ใช้โทนสีไททาเนี่ยมเพื่อสร้างความโฉบเฉี่ยวสะดุดตา ทางด้านหลังของตัวได้ให้ความพิเศษแตกต่างด้วยปลายท่อไอเสียโครเมี่ยมแบบท่อคู่ กระจกด้านหลังสีน้ำเงิน มือจับเปิดประตูแบบโครเมี่ยม, ยางกันกระแทกรอบคัน กระจังหน้าและกันชนหลังเพิ่มสัมผัสของความมันแวววาวเป็นประกาย โมเดลพิเศษนี้ยังมีโทนสีให้เลือกทั้งในแบบ Obedian black, Indium silver หรือ Calcite white

.

การใช้หนังระดับคุณภาพสีดำตกแต่งทำให้เกิดความแตกต่างที่ประทับใจของการตกแต่งภายในห้องโดยสาร เพดานห้องโดยสารสีดำ ชุดแผงหน้าปัดแบบสปอร์ตและการตกแต่งด้วยลายไม้ “anthracite poplar” เพิ่มความหรูหราโอ่อ่าให้กับภายในห้องโดยสาร เช่นเดียวกับพรมปูพื้น Velour พร้อมสัญลักษณ์”Edition 10ขณะเดียวกันผู้ขับขี่จะได้รับสัมผัสพิเศษจากแป้นคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ตที่ทำจากสแตนเลสสตีลขัดมันแวววาว เบาะนั่งด้านหน้าปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้าและชุดให้ความส่องสว่างภายในห้องโดยสาร

.

อุปกรณ์มาตรฐานของความพิเศษที่แตกต่างนี้ยังประกอบด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ 7G-TRONIC พร้อม DIRECT SELECT, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ(ESP®), ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา 4MATIC และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน 4ETS พร้อมฟังค์ชันการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นด้ยระบบตั้งความเร็วขณะลงเขา(Downhill Speed Regulation), ระบบช่วยสตาร์ทบนทางลาดชัน(hill-start assist) และระบบเบรก off-road ABS.

.

สัมผัสเครื่องยนต์ V6 ของ ML 280 CDI รุ่น Edition 10 ML 280 CDI มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V6 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ CDI เจนเนอเรชัน 3 มีแรงม้าสูงสุด 190 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 440 ตารางนิวตัน-เมตร เป็นรถอ๊อฟโรดที่ให้ความประหยัดสูงสุดของรถในคลาสเดียวกัน10 ปีใน Tuscaloosa – เรื่องราวแห่งความสำเร็จของสายพันธ์ผสม German-American

.

 เจนเนอเรชันแรกของ M-Class (W 163) ได้เปิดตัวในปีค.ศ. 1997 เป็นรุ่นบุกเบิกสำหรับความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ประเภทพรีเมี่ยม SUV มาจนถึงปัจจุบันนี้ M-Class รุ่นแรกได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เป็นการผสมผสานความนุ่มนวลสะดวกสบายและความปลอดภัยในการบังคับควบคุมของรถยนต์นั่งด้วยสมรรถนะของรถยนต์ในแบบออฟ-โรดเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน

.

นอกจากนี้ยังมีห้องโดยสารที่กว้างขวางและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้อย่างเหมาะสม เป็นการเริ่มต้นออกเดินทางสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอย่างประทับใจด้วยยอดจำหน่ายทั่วโลกเกือบ 600,000 คัน จากนั้น M-Class(W 164) ได้ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องในปีค.ศ. 2005 สามารถทำยอดจำหน่ายทั่วโลกได้กว่า 250,000 คันและเช่นเดียวกับเจนเนอเรชันแรก M-Class เจนเนอเรชันที่สองถูกผลิตและประกอบขึ้นที่โรงงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ใน Tuscaloosa รัฐอลาบาม่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งสายการผลิต ณ โรงงานแห่งนี้ถูกเปิดขึ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 สองปีหลังจากเริ่มต้นการก่อสร้าง และเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์แห่งแรกที่อยู่นอกประเทศเยอรมนี

.

ในช่วงระยะเวลาอันสั้นหลังจากเริ่มต้นการผลิต ความต้องการของ M-Class เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย จากการลงทุนเริ่มต้นที่ 300 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ บริษัทได้ลงทุนเพิ่มเติมอีก 100 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิม 60,000 คันเป็น 80,000 ต่อปี ภายในปีค.ศ. 2002 M-Class มากกว่า 88,000 คันถูกผลิตขึ้น ณ โรงงานแห่งนี้ นอกจากนี้ในระหว่างปีค.ศ. 1999 และ 2002 M-Class ยังได้ถูกผลิตขึ้นที่ Magna Steyr ในประเทศออสเตรีย สถานที่เดียวกับ G-Class ตำนานอีกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ถูกสร้างขึ้น

.

เรื่องราวของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เริ่มต้นมากว่า 100 ปีล่วงมาแล้ว ในการที่ทำให้เกิดเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ของการฉลองครบรอบ 10 ปีของ M-Class “Edition 10ยังได้นำเหตุการณ์ที่สำคัญอื่น ๆ ในอดีตให้ย้อนกลับมารำลึกถึงอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน โรงงาน Berlin-Marienfelde ได้ผลิตรถยนต์นั่งสำหรับทุกสภาพพื้นผิวถนนด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ขึ้นเป็นคันแรกของโลกเป็นรถยนต์ที่ออกแบบโดย Paul Daimler ซึ่งรถยนต์นี้ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของ German Imperial Colonial Office ใน German Southwest Africa

.

ซึ่งปัจจุบันคือประเทศนามิเบีย เทคโนโลยี่ที่ถูกใช้ในยานยนต์หนัก 3.6 ตันที่ประกอบด้วยตัวถังแบบทัวริ่งคาร์และมี 6 ที่นั่งนี้แสดงถึงความก้าวล้ำนำสมัย นอกจากนี้ยังประกอบด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ที่ทำให้รถยนต์ขนาดใหญ่มีความคล่องตัวมีสมรรถนะในการขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม ทำให้เหมาะสมกับการเดินทางในทะเลทรายหรือในภาพทุรกันดารที่มีอยู่มากมายใน German Southwest Africa นอกจากนี้ยังมีแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบส่งกำลังอีกด้วย

.

"Dernburg Wagen เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นหลังจาก Bernhard Dernburg หัวหน้าของ German Imperial Colonial Office ได้ใช้รถยนต์รุ่นนี้เป็นเวลาหลายปี ส่วนใหญ่การใช้งานจะอยู่ในพื้นที่รอบ Windhoek และ Swakopmund คิดเป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 10,000 กิโลเมตร เส้นทางของยานยนต์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัวนี้ได้จางหายไปในช่วงของการผ่านพ้นยุคอาณานิคม กลายเป็นความลึกลับของตำนานแห่งความสำเร็จอีกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ยานยนต์โลก