เครือสหวิริยาเดินหน้าตั้งโรงถลุงเหล็ก ชี้เสียงต่อต้านมาจากคนบางกลุ่มเท่านั้น มั่นใจโครงการเกิดจะช่วยประเทศลดการนำเข้าเหล็กทั้งระบบ เตรียมยื่นขอส่งเสริมบีโอไอรอบใหม่เร็วๆนี้ ค่า 36,000 ล้านบาท ขนาดกำลังผลิต 1.5 ล้านตัน

สืบเนื่องจากการคัดค้านตั้งโรงถลุงเหล็ก ในพื้นที่ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งลงทุนโดยเครือสหวิริยา และกำลังบานปลายถึงขั้นใช้ความรุนแรง ยิงคนงาน เสียชีวิต เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 นั้น

ล่าสุดนายไพโรจน์ มกร์ดารา ผู้อำนวยการโครงการพิเศษเครือสหวิริยา เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจ"ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้เครือสหวิริยาล้มเลิกโครงการตั้งโรงถลุงเหล็กลงไป ได้ เพราะมองเห็นประโยชน์ของประเทศชาติ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คนในพื้นที่มีงานทำ และลดการนำเข้าเหล็กตั้งแต่ต้นน้ำขึ้นไปยังเหล็กสำเร็จรูป

โดยจะยื่นขอส่งเสริมบีโอไออีกครั้งในเร็วๆนี้ มูล ค่า 36,000 ล้านบาท ขนาดกำลังผลิต1.5 ล้านตัน เป็นเฟสแรก ขนาดพื้นที่ 1,160 ไร่ มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายในนามบริษัท ประจวบพัฒนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ตามแผนจะแล้วเสร็จในปี2552

ทั้งนี้จะขอบีโอไอปรับแผนการลงทุนใหม่โดยแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี2552จะเริ่มลงทุน 36,000 ล้านบาท กำลังผลิต 1.5 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 12,000 ล้านบาท (กำลังยื่นขอส่งเสริม) ปี2553 ลงทุน20,000 ล้านบาท กำลังผลิต 1.5 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 6,700 ล้านบาท และปี2554 ลงทุน 34,000 ล้านบาท กำลังผลิต2 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 11,350 ล้านบาท

"ปัญหาที่เกิดขึ้นยอมรับว่าเป็นอุปสรรคในการทำงาน ซึ่งเกิดจาก คนเพียงกลุ่มเดียว ที่เรียกตัวเองว่า 5 กลุ่มพันธมิตร มีคนนอกพื้นที่และชาวบ้านจำนวนน้อย ที่ชอบอ้างว่าพื้นที่ ที่จะตั้งโรงถลุงเหล็กเป็นพื้นที่ป่าพรุ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หาดแม่รำพึง จ.ประจวบฯ ทั้งที่ส่วนนี้ไม่มีใครเรียกร้องแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งชาวบ้าน ภาครัฐ และบริษัทได้ทำความเข้าใจไปแล้ว ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายซึ่งตำรวจกำลังดำเนินคดีอยู่"

สำหรับผู้ที่เสียชีวิตชื่อนายรักศักดิ์ คงตระกูล ยุ 36 ปี เป็นคนงานผู้รับเหมาในเครือสหวิริยา บริษัทจะรับดูแลบุตรจนเรียนจบการศึกษา ส่วนภรรยาหากสมัครใจเข้าทำงานในเครือสหวิริยาก็พร้อมจะรับไว้

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)เปิดเผยว่ายังมั่นใจว่าเครือสหวิริยาจะยื่นคำขอรับการส่งเสริมเข้ามาใหม่ภายในไตรมาสแรกปีนี้ ตามคำขอเดิมที่เคยยื่นและถูกยกเลิกไปตามเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าเครือสหวิริยาจะแสดงเจตจำนงให้โครงการนี้เป็นกิจการผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูง ที่บีโอไอกำลังจะเปิดประเภทกิจการใหม่ ตามโมเดลเดียวกับโครงการส่งเสริมผลิตรถอีโคคาร์ ก็ต้องยื่นแสดงความสนใจเข้ามายังบีโอไอภายในเดือนมกราคม 2551ซึ่งเป็นไป ตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะขณะนี้มียื่นแสดงความสนใจที่จะลงทุนเข้ามาแล้ว 2 รายคือ กลุ่มนิปปอน สตีล เจเอฟอี สตีล จากประเทศญี่ปุ่น โดยจะใช้เงินลงทุนในโครงการละ ประมาณ 100,000 ล้านบาท

ในเบื้องต้นโครงการเหล่านี้จะตั้งในพื้นที่เซาท์เทิร์นซีบอร์ด อนึ่งเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน2548 บอร์ดใหญ่บีโอไอ ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาการส่งเสริมการผลิตเหล็กขั้นต้นน้ำและเหล็กขั้นกลาง(โรงถลุงเหล็ก)ของนายวิทย์ วิริยประไพกิจ จากเครือสหวิริยาที่ยื่นขอรับการส่งเสริมทั้งหมด 5 เฟส ขนาด 30 ล้านตัน ใช้เงินลงทุน 500,000 ล้านบาท

โดยได้เห็นชอบหลักๆคือ ให้ดำเนินการผลิตในเฟสแรกก่อน ที่ขนาด 5 ล้านตัน ใช้เงินลงทุน 90,200 ล้านบาท และในปี2551 โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี และได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุน50% ของอัตราปกติเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยไม่จำกัดวงเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้น

ในขณะที่บีโอไอมีเงื่อนไขว่า สัดส่วนของ หนี้สินต่อทุนในโครงการนี้จะต้องไม่เกิน 2 ต่อ1 โดยจะเป็นเงินลงทุนจากเครือสหวิริยา 30,000 กว่า ล้านบาท ที่เหลือเป็นเป็นเงินกู้จากต่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ก็ถูกยกเลิกการส่งเสริมไปเพราะไม่สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่บีโอไอกำหนด