เนื้อหาวันที่ : 2022-08-10 10:54:04 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1064 views

แลนเซสส์เผยไตรมาส 2/2565 ยังคงมีผลประกอบการที่ดีท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

  • ไตรมาสที่ 2/2565 มียอดขาย 999 พันล้านยูโรเพิ่มขึ้น 36.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
  • EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติอยู่ที่ 253 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
  • ผลลัพธ์ที่ดีส่วนหนึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการกับ Emerald Kalama Chemical ในปี 2564
  • หน่วยธุรกิจวัสดุประสิทธิภาพสูงถือว่าหยุดดำเนินการ ตัวเลขยอดขายและ EBITDA ของปีที่แล้วได้ถูกปรับปรุงใหม่
  • คาดการณ์ผลประกอบการทั้งปี 2565 : EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติจะอยู่ระหว่าง 900 – 1000 ล้านยูโร (เทียบกับตัวเลขปี 2564 : อยู่ที่ประมาณ 800 ล้านยูโร)

ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโลกที่ท้าทายด้วยต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้น พร้อมทั้งสถานการณ์ด้านลอจิสติกส์ที่ยากลำบาก แลนเซสส์ (LANXESS) ผู้นำในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษระดับโลก ยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกไตรมาส โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 มี EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติอยู่ที่ 253 ล้านยูโรซึ่งสูงกว่าไตรมาสเดียวกันในปีก่อนถึง 14.5% ที่เคยทำได้ 221 ล้านยูโร

กลุ่มธุรกิจสารเติมแต่งพิเศษ (Specialty Additives) และกลุ่มธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภค (Consumer Protection) เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง กลุ่มธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างมากจากการผนวกรวมหน่วยธุรกิจ Flavours & Fragrances ใหม่เข้ามา หน่วยธุรกิจนี้ประกอบด้วยเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษสำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคของ Emerald Kalama Chemical จากสหรัฐอเมริกาที่ถูกควบรวมกิจการเข้ามาในปี 2564
ในไตรมาสที่ 2/2565 แลนเซสส์สามารถปรับราคาขึ้นเพื่อรองรับต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนยังช่วยส่งผลดีต่อการพัฒนารายได้ของทุกกลุ่มอีกด้วย
สถานการณ์ด้านลอจิสติกส์ที่ยากลำบากอย่างต่อเนื่องประกอบกับต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นส่งผลให้มีปริมาณการขาย (Sales Volume) ลดลงและยอดกำไรไม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น EBITDA Margin จากการดำเนินงานตามปกติของกลุ่มจึงอยู่ที่ 12.7% ลดลงเมื่อเทียบกับ 15.0% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (2/2564)

Matthias Zachert ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท LANXESS AG กล่าวว่า “แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย แต่เรายังคงยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง ผลประกอบการที่ดีของไตรมาสที่ 2 แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของเรามีผลลัพธ์ที่ดี การเข้าควบรวมกิจการ Emerald Kalama Chemical ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภคและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ในช่วงครึ่งหลังของปี ความผันผวนจะยิ่งแรงขึ้นในเศรษฐกิจโลก แต่เราเตรียมพร้อมสำหรับสภาวการณ์นี้ไว้แล้ว”


Matthias Zachert ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท LANXESS AG

ในไตรมาสที่ 2 ยอดขายของทั้งกลุ่มแลนเซสส์อยู่ที่ 1.999 พันล้านยูโร สูงขึ้น 36.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่ทำได้ 1.469 พันล้านยูโร โดยเฉพาะราคาขายที่สูงขึ้นมีผลในเชิงบวก กำไรสุทธิ (Net Income) จากการดำเนินงานต่อเนื่องอยู่ที่ 48 ล้านยูโรในไตรมาสที่ 2 สูงกว่าตัวเลขปีที่แล้วเล็กน้อยที่เคยทำได้ 47 ล้านยูโร
เนื่องจากแลนเซสส์ได้ประกาศโอนย้ายหน่วยธุรกิจวัสดุประสิทธิภาพสูง (HPM) ให้กับบริษัทร่วมทุนกับ Advent International ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 หน่วยธุรกิจดังกล่าวจึงได้รับการยอมรับย้อนหลังว่าเป็น "การยุติการดำเนินงาน" ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ยอดขายและกำไรจากการดำเนินงาน - และตัวเลขปีก่อนหน้าที่เกี่ยวข้อง – ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว

สำหรับผลประกอบการของทั้งปี 2565
กลุ่มบริษัทได้ยืนยันและระบุแนวทางการเติบโตที่สำคัญ ซึ่งแลนเซสส์คาดการณ์ว่า EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติจะอยู่ที่ 900 ล้านยูโรถึง 1 พันล้านยูโร เมื่อเทียบกับระดับเปรียบเทียบของปีก่อนที่ปรับแล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านยูโร จะเท่ากับเพิ่มขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็นต์

พัฒนาการเชิงกลยุทธ์ขั้นสูง
แผนการตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Advent International เป็นความก้าวหน้าขั้นต่อไปของพัฒนาการเชิงกลยุทธ์ของแลนเซสส์ นอกจากหน่วยธุรกิจของ LANXESS HPM แล้วบริษัทยังมีแผนที่จะโอนย้ายหน่วยธุรกิจสารโพลีเมอร์วิศวกรรมประสิทธิภาพสูง (High-Performance Engineering Polymers) ไปรวมกับหน่วยธุรกิจวัสดุวิศวกรรม DSM (DEM) ของกลุ่ม Royal DSM จากเนเธอร์แลนด์ด้วย คาดว่าหลังจากเสร็จสิ้นตามที่วางแผนไว้ในครึ่งแรกของปี 2566 แล้ว แลนเซสส์จะได้รับการชำระเงินอย่างน้อย 1.1 พันล้านยูโรและส่วนแบ่งหุ้นสูงถึง 40% กับการร่วมทุนครั้งนี้ในอนาคต
ขณะเดียวกันแลนเซสส์ยังคงเสริมความแข็งแกร่งให้กับหน่วยธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง : ณ วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 แลนเซสส์เสร็จสิ้นการเข้าควบรวมกิจการ Microbial Control จาก International Flavours & Fragrances Inc. (IFF) ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น แลนเซสส์จึงกลายเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ผลิตภัณฑ์ควบคุมจุลินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ตัวเลขผลประกอบการที่สำคัญของแลนเซสส์ในไตรมาสที่ 2/2565

กลุ่มธุรกิจที่ยอดขายได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคา
หลังจากการประกาศโอนย้ายหน่วยธุรกิจ HPM ออกจากกลุ่มแลนเซสส์แล้ว ทำให้ขณะนี้แลนเซสส์มีธุรกิจใน 3 กลุ่มสารเคมีพิเศษ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสารตัวกลางขั้นสูง กลุ่มธุรกิจสารเติมแต่งพิเศษ และกลุ่มธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภค

กลุ่มธุรกิจสารตัวกลางขั้นสูง (Advanced Intermediates)
เนื่องจากแลนเซสส์สามารถปรับราคาขายขึ้นชดเชยราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ยอดขายในกลุ่มธุรกิจสารตัวกลางขั้นสูง (Advanced Intermediates) จึงเพิ่มขึ้น 26.0% จาก 466 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 587 ล้านยูโร สวนทางกับ EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติลดลง 18.7% จาก 91 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงเป็น 74 ล้านยูโร เนื่องจากการปรับราคาขายของบางผลิตภัณฑ์ล่าช้า จึงไม่สามารถชดเชยราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับสถานการณ์ด้านลอจิสติกส์ที่ยากลำบากด้วยต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นและปริมาณการขายที่ลดลง ล้วนส่งผลกระทบในทางลบต่อผลกำไร การปิดโรงงานผลิตลงชั่วคราวเพื่อทำการบำรุงรักษาตามแผนก็ส่งผลกระทบในทางลบเช่นกัน ดังนั้น EBITDA Margin จากการดำเนินงานตามปกติจึงลดลงเป็น 12.6% เทียบกับ 19.5% ในปีที่แล้ว

กลุ่มธุรกิจสารเติมแต่งพิเศษ (Specialty Additives)
แลนเซสส์ประสบความสำเร็จในการปรับราคาขายขึ้นชดเชยราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมด ยอดขายจึงเพิ่มขึ้น 34.5% จาก 568 ล้านยูโรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 764 ล้านยูโร แต่ปริมาณการขาย (Sales Volume) กลับลดลงเนื่องจากสถานการณ์ด้านลอจิสติกส์ทั่วโลกที่ยากลำบาก ถึงอย่างไรแลนเซสส์ยังคงสามารถทำให้ EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติมีมูลค่า 134 ล้านยูโรในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 50.6% เทียบกับตัวเลขของปีที่แล้วที่ทำได้เพียง 89 ล้านยูโร และ EBITDA Margin จากการดำเนินงานตามปกติเพิ่มขึ้นจาก 15.7% เป็น 17.5%

กลุ่มธุรกิจสารปกป้องผู้บริโภค (Consumer Protection)
หน่วยธุรกิจ Flavours & Fragrances ที่ตั้งขึ้นใหม่มีส่วนสนับสนุนการพัฒนายอดขายและรายได้ในเชิงบวก อย่างไรก็ตามปริมาณการขายที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ด้านลอจิสติกส์ที่ยากลำบากส่งผลให้ยอดขายลดลงเพียงเล็กน้อย โดยรวมแล้วยอดขายของกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 52.5% จาก 366 ล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 558 ล้านยูโร EBITDA จากการดำเนินงานตามปกติอยู่ที่ที่ 90 ล้านยูโร สูงขึ้น 26.8% จากปีที่แล้วที่ทำได้ 71 ล้านยูโร EBITDA Margin จากการดำเนินงานตามปกติอยู่ที่ 16.1% เทียบกับ 19.4% ในปีที่แล้ว