เนื้อหาวันที่ : 2022-05-24 20:26:40 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1264 views

อรูบ้าเสนอแนะใช้โซลูชัน AI ดูแลระบบเครือข่ายรองรับ Hybrid Workplace หลังสถานการณ์โควิด

โดย : สตีฟ วูด (Steve Wood) รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัท อรูบ้า (Aruba) บริษัทในเครือฮิวเล็ตต์แพ็กการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามาตรการต่าง ๆ ในสถานที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคระบาดได้ผ่อนคลายลง แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงโรคระบาดได้นำไปสู่การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Workplace) หรือ "การทำงานจากที่ใดก็ได้" โดยเฉพาะจากที่บ้านยังคงส่งผลกระทบต่อมาถึงความคาดหวังในปัจจุบันของทั้งพนักงานและนโยบายการจ้างงานของนายจ้าง เมื่อเราเข้าสู่ยุคหลังโรคระบาดการทำงานจากที่บ้านจึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในงานวิจัยล่าสุดของ Accenture พบว่าพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพึงพอใจในรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดสำหรับการเลือกที่ทำงานในอนาคตมากกว่าการทำงานในสำนักงานหรือทำงานจากระยะไกลอย่างใดอย่างหนึ่งเต็มเวลา โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามที่เห็นด้วยเป็นพนักงานชาวจีนร้อยละ 94 ชาวสิงคโปร์ร้อยละ 89 และชาวญี่ปุ่นร้อยละ 87 ในขณะเดียวกันร้อยละ 70 ขององค์กรเหล่านี้กำลังวางแผนที่จะใช้การจัดการการทำงานแบบไฮบริดและ/หรือการทำงานจากระยะไกลแม้หลังจากการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง
ขณะที่แนวคิดเรื่อง "การทำงานแบบไฮบริด" กำลังหยั่งรากลึก แต่ข้อจำกัดของระบบไอทีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายระดับองค์กรแบบเดิมกำลังกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญ อันที่จริงพนักงานมากกว่าครึ่งกล่าวว่าพวกเขาขาดสิ่งจำเป็นในการทำงาน อย่างเช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร ในยุค New Normal นี้พนักงานต่างกำลังมองหานายจ้างที่ยอมลงทุนในสภาพแวดล้อมการทำงานทางไกลที่ใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้น องค์กรธุรกิจต่าง ๆ ต้องใช้แนวทางใหม่ในการยึดโยงกับพนักงานที่ทำงานกระจายตัวอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะทำงานได้อย่างปลอดภัยและราบรื่นผ่านระบบไอทีขององค์กร

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วฉับพลันทางธุรกิจเพิ่มความกดดันให้ทีมงานไอที
ความจริงที่มักพบเสมอในองค์กรต่าง ๆ คือเมื่อการระบาดใหญ่บีบบังคับให้พนักงานส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับใช้รูปแบบการทำงานจากระยะไกล (Remote Working Model) กลับพบรายงานว่าผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของระบบไอทีมีความเครียดจากการทำงานเพิ่มขึ้นมากที่สุดและประสบกับภาวะหมดไฟในการทำงานมากกว่าอาชีพอื่น ๆ
นั่นคงเป็นเพราะการทำงานจากระยะไกลทำให้มีจำนวนอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (IoT) ที่เชื่อมต่อเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นทวีคูณ นับตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงแลปท้อปและแท็บเล็ตที่ใช้งาน ควบคู่ไปกับความต้องการการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องไปยังบริการต่าง ๆ ของโฮสต์ในคลาวด์และศูนย์ข้อมูลจากผู้ที่ปฏิบัติงานจากระยะไกลและอุปกรณ์ IoT เหล่านี้ โครงสร้างระบบเครือข่ายพื้นฐานที่เปลี่ยนไปทำให้ทีมงานที่ดูแลระบบไอทีไม่เคยมีงานมากมายอย่างนี้มาก่อน และเมื่อพูดถึงไอทีและการรักษาความปลอดภัยแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถยอมให้มีความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human Error) เกิดขึ้นเลย
นอกจากนี้ในขณะที่องค์กรธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาคกำลังค่อย ๆ ปรับตัวกลับสู่ภาวะการทำงานปกติก่อนเกิดโรคระบาด ทีมไอทีจะถูกกดดันอีกครั้งด้วยนโยบายของรัฐบาล อย่างเช่น ในสิงคโปร์รัฐบาลได้ประกาศ "แนวทางเพิ่มขึ้น" เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดในสถานที่ทำงาน นี่เป็นการเพิ่มความท้าทายและความรับผิดชอบอีกชั้นหนึ่งสำหรับทีมงานไอที ตอนนี้พวกเขาจะต้องดูแลพนักงานที่ทำงานระยะไกลในขณะที่วางแผนโครงการให้พนักงานสามารถกลับมาทำงานที่สำนักงานได้ไปพร้อมกัน การจัดการเครือข่ายแบบเดิมไม่เพียงพอและล้าสมัยที่จะสนับสนุนทีมให้ทำงานเหล่านี้ ทำให้เกิดกระบวนการปรับจูนด้วยตนเองที่ซับซ้อน เพิ่มความเสี่ยงต่อข้อผิดพลาด ปัญหาด้านประสิทธิภาพ หรือการหยุดชะงักการทำงานของระบบเครือข่าย (Downtimes)
โครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายเป็นรากฐานสำคัญในการแปลงองค์กรให้ทำงานเป็นดิจิทัลเกิดขึ้นได้จริงและทำให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำงานได้ เป็นเหมือนกับโดมิโนตัวแรกของการทำให้เป็นดิจิทัล หากระบบเครือข่ายประสบปัญหาการหยุดทำงานและ "หยุดชะงัก" จะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อเนื่องตาม ๆ กันเป็นทอด ๆ แอปพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อธุรกิจจะหยุดทำงาน การจัดงานและการสัมมนาผ่านเว็บจะต้องถูกเลื่อนออกไป พนักงานไม่สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันเหตุการณ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นอีกเลย แล้วยังช่วยให้ทีมงานไอทีไม่ต้องถูกจำนวนคำร้องขอให้ช่วยแก้ปัญหาในแต่ละวัน (Help Desk Tickets) ท่วมท้นเข้ามาจนไม่มีเวลาทำงานอื่น

ระบบเครือข่ายไม่ใช่โดมิโนตัวแรกอีกต่อไป แต่เป็นกำแพงที่แข็งแกร่งช่วยปกป้องระบบดิจิทัลขององค์กร
เช่นเดียวกับที่เรานำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้สามารถทำงานจากที่บ้านได้ โซลูชันเครือข่ายที่เราพึ่งพาก็จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยมารองรับได้เช่นกัน โซลูชันเครือข่ายขั้นสูงในปัจจุบันมาพร้อมกับความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถช่วยให้องค์กรและทีมงานไอทีสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้ อันที่จริง IDC คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2566 ร้อยละ 75 ขององค์กรไอทีจะใช้ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการจัดการดำเนินงานด้านไอที (AIOps) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ทีมงานไอทีของตน
อัลกอริธึมของ Big Data และ Machine Learning สามารถช่วยเสริมและทำให้งานไอทีในแต่ละวันเป็นแบบอัตโนมัติได้ ตั้งแต่การตรวจสอบประสิทธิภาพ การทำรายงานความสัมพันธ์ของตัวแปรข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วโลก คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะสร้างข้อมูลได้ถึง 463 เอ็กซาไบต์ภายในปี พ.ศ. 2568 ลองนึกภาพสมมติให้หนึ่งกิกะไบต์เท่ากับขนาดของโลก หนึ่งเอ็กซาไบต์จะมีขนาดเท่ากับพระอาทิตย์ทั้งดวง การใช้ประโยชน์จากโซลูชัน AI จะช่วยให้ทีมงานไอทีสามารถวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมายและนำไปใช้ดำเนินการต่อได้ นอกจากนี้โซลูชัน AI จะช่วยให้ทีมงานไอทีสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าและแก้ไขปัญหาใด ๆ ของระบบไอทีได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบกับธุรกิจ

นอกเหนือจากความต้องการ AIOps แล้วยังมีการนำรูปแบบการใช้งานที่ยืดหยุ่นแบบจ่ายเท่าที่ใช้มานำเสนอเพิ่มขึ้น เช่น Network-as-a-Service (NaaS) การรวมความสามารถจากโซลูชันต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ทีมงานไอทีสามารถหลุดพ้นจากการเสียเวลาส่วนมากไปกับแก้ปัญหาที่ซ้ำซากของระบบเครือข่ายในแต่ละวัน มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลขององค์กร
เมื่อองค์กรติดอาวุธด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของระบบเครือข่าย องค์กรจะได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นและการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น อันที่จริงร้อยละ 75 ขององค์กรไอทีชั้นนำระดับโลกระบุว่าต้องการใช้ AI เข้ามาช่วยทีมงานไอทีของตนภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566 นอกเหนือจากการดำเนินงานของ AI แล้วการศึกษาโดยอรูบ้าพบว่ามากกว่าสามในสี่ (ร้อยละ 77) ของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเห็นพ้องต้องกันว่าความยืดหยุ่นในการขยายขนาดของระบบเครือข่ายตามความต้องการทางธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสนใจในการเลือกใช้ NaaS ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รูปแบบ as-a-service เช่น NaaS จะช่วยให้ทีมงานไอทีสามารถก้าวไปข้างหน้าให้ทันกับนวัตกรรม ลดความยุ่งยากในการจัดการการดำเนินงานของระบบเครือข่าย ด้วยความสามารถที่ผสมผสานกันเหล่านี้เพื่อพัฒนาโซลูชันเครือข่าย โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่ายจะไม่รับหน้าที่เป็นโดมิโนตัวแรกในแถวที่เสี่ยงต่อการล้มลงก่อนเพื่อนอีกต่อไป แต่จะเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งปกป้องการคุกคามจากภายนอก สนับสนุนการสร้างสรรค์โครงการเชิงดิจิทัลทั้งหลายขององค์กร

ทำงานจากสถานที่ห่างไกลได้โดยสามารถเชื่อมต่อด้วยดิจิทัลจากทุกที่
เครือข่ายที่ปลอดภัยและแข็งแกร่งจะยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจว่าพนักงานสามารถเชื่อมต่อได้จากทุกที่และทุกเวลา ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสามารถด้านดิจิทัลของประเทศด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อในอนาคตตามประกาศนโยบาย Thailand 4.0 สิ่งสำคัญคือองค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่ายในลักษณะที่คล้ายคลึงกันเมื่อต้องเผชิญกับกระแสของการจัดการและการกำหนดลักษณะการทำงานแบบผสมผสานและการทำงานจากระยะไกล องค์กรต่าง ๆ จะต้องยินดีที่จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานขององค์กรจะเชื่อมต่อทางดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยจากทุกที่และตลอดเวลาไม่ว่าจะทำงานจากระยะไกลหรือกลับเข้ามาทำงานในสำนักงาน