เนื้อหาวันที่ : 2021-11-17 19:00:26 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1326 views

ORI โชว์ผลงาน 9 เดือนปี 2564 คว้ากำไรทะยาน 2,386 ล้าน ยอดโอนกรรมสิทธิ์โตแกร่ง 66%

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 กวาดรายได้รวม 11,794 ล้าน ทะลุ 84% ของเป้าทั้งปี พร้อมกำไรสุทธิ 2,386 ล้าน หลังผลงาน Q3/2564 กวาดรายได้รวม 4,123 ล้าน และกำไร 709 ล้าน ไตรมาส 3 ยอดโอนกรรมสิทธิ์โตพุ่ง 66% หลังแบ็คล็อกในมือและโครงการพร้อมอยู่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ขณะที่แคมเปญออนไลน์ยังคงกระตุ้นยอดคอนโด คาด Q4/2564 สถานการณ์ตลาดดีขึ้นเป็นลำดับ หลังรัฐคลายล็อกดาวน์ยกเลิกเคอร์ฟิวกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและผ่อนคลาย LTV หนุนรายได้ทั้งปีแตะ 14,000 ล้านตามเป้า

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย. 2564) อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,794 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) ส่งผลให้รายได้รวมขณะนี้คิดเป็น 84% ของเป้ารายได้ทั้งปี 2564 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,386 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,123 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 709 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า (Non-JV) ในช่วงไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 3,666 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 66% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้สร้างรากฐานยอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ไว้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าตามแผนการเติบโตของบริษัท ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2564 มีโครงการที่ทยอยรับรู้รายได้เพิ่มเติมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้จัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด กระตุ้นการตัดสินใจซื้อโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) และการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดแคมเปญ 9.9 Origin Condo Fest มหกรรม Live ขายคอนโดมิเนียมที่เชิญศิลปินชื่อดังและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มาร่วมสร้างสีสัน มอบองค์ความรู้ด้านอสังหาฯให้แก่ผู้บริโภคควบคู่กับการขายคอนโดมิเนียมออนไลน์

“ไตรมาส 3/2564 เป็นไตรมาสที่ไม่ง่ายสำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงต้นไตรมาส ซึ่งส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการโอนกรรมสิทธิ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำสถิติรายวันพุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกแรกและมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ที่ชะลอการเดินทางเยี่ยมชมโครงการของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ออริจิ้นเองพยายามวางรากฐานด้านต่างๆ ของบริษัทให้แข็งแรง นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดระลอกแรก ทำให้สามารถปรับตัวได้เร็วและยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานไว้ได้ภายใต้ความท้าทาย” นายพีระพงศ์ กล่าว

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 4/2564 ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากหลายปัจจัย อาทิ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลง การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงเข้ม ส่งผลให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น สามารถกลับมาประกอบธุรกิจและมีรายได้ ภาพรวมกำลังซื้อจึงค่อยๆ ดีขึ้น การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว ปรับเพดานอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) กลับสู่ระดับ 100% จนถึงสิ้นปี 2565 ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและมีขีดความสามารถในการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น

อีกทั้ง บริษัทได้เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ประกอบกับแนวทางในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4/2564 โดยช่วงดังกล่าวจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติม 4 โครงการ ได้แก่
1.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) 2.นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) 3.แกรนด์ บริทาเนีย สุวรรณภูมิ (Grand Britania Suvarnabhumi) 4.บริทาเนีย ติวานนท์ ราชพฤกษ์ (Britania Tiwanon-Ratchapruek) จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมรายได้ปี 2564 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท

สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2564) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 137,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ฯลฯ เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร