เนื้อหาวันที่ : 2021-08-25 22:20:17 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1397 views

อรูบ้าชี้แนะแนวทางการร่วมมือกันของโซลูชันระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยในยุค ‘การทำงานได้จากทุกที่’

โดย : Steve Wood รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัท อรูบ้า ในเครือบริษัท ฮิวเล็ตต์ แพ็กการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์

โรคระบาดโควิด-19 ทำให้โลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะให้พนักงานทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Working) มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากสำนักงานใหญ่ บ้าน สาขาย่อย หรือจากที่ไหนก็ได้ระหว่างเดินทางแทนที่จะทำงานในสำนักงานเพียงแห่งเดียวเหมือนเมื่อก่อน แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่าแนวทางปฏิบัติในการทำงานแบบเดิม ๆ จะต้องถูกรื้อใหม่ทั้งหมด ยุคแห่ง 'การทำงานได้จากทุกที่' (Work from Anywhere) ทำให้เกิดการก้าวกระโดดไปสู่สถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายแบบใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Edge-to-Cloud
คาดการณ์ว่าภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้ข้อมูลขององค์กรประมาณ 75% จะถูกสร้างและประมวลผลภายนอกศูนย์ข้อมูลแบบรวมศูนย์ดั้งเดิมและไม่ใช่บนคลาวด์เท่านั้น แต่จะถูกประมวลผลที่ Edge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ข้อมูลนั้นถูกสร้างขึ้นมา รวมถึงจะมีอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายมากกว่า 5 หมื่นล้านเครื่อง องค์กรต่าง ๆ จะต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างสถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถปลดล็อคพลังความสามารถที่ดีที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลและสามารถทำงานในสถานที่ทำงานแบบไฮบริดได้สำเร็จ ซึ่งรวมไปถึงภายหลังจากการผ่อนคลายสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 การทำงานแบบไฮบริดนี้ต้องพึ่งพาการผสานสอดคล้องกันระหว่างโซลูชันระบบเครือข่ายและระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย

ความสำคัญของสถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่เหมาะสม
โรคระบาดเปลี่ยนการทำงานให้ต้องเป็นแบบระยะไกล (Remote Working) หรือทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อย่างกะทันหัน ทำให้ระบบเครือข่ายกลายเป็นจุดรวมที่ทุกฝ่ายสนใจในฐานะเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การเชื่อมโยงพนักงานไปจนถึงแอพพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อภารกิจสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความอยู่รอดของธุรกิจ รวมถึงการคิดค้นรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ แม้ว่ายังเป็นไปได้ที่จะกลับไปทำงานที่สำนักงานและยังเห็นการเดินทางเพื่อธุรกิจ แต่จากการสำรวจล่าสุดของอรูบ้าต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทั่วโลกเปิดเผยว่าในขณะนี้ 83% ขององค์กรต้องรักษาหรือเพิ่มการลงทุนในส่วนระบบเครือข่ายแบบคลาวด์ - โดยมีธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นส่วนแบ่งใหญ่ที่อัตราส่วน 45% ผลลัพธ์นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความต้องการระบบเครือข่ายแบบจัดการระยะไกลขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานที่มีการกระจายตัวทำงานในสถานที่ต่าง ๆ ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามการสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่เหมาะสมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกเหนือจากความยืดหยุ่นในการเพิ่มขยาย ยังต้องมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามข้อกำหนดหรือความต้องการเฉพาะอื่น ๆ สำหรับโซลูชันเครือข่ายระดับองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise-Grade) ที่แตกต่างจากโซลูชันเครือข่ายระดับผู้บริโภค (Consumer-Grade) โดยรวมถึงความสะดวกในการเชื่อมต่อ ตลอดจนประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือที่ต้องได้รับในระดับเดียวกันกับประสบการณ์ในสำนักงาน ทั้งในเรื่องความสะดวกและความปลอดภัยแม้จะทำงานจากที่บ้านของพนักงานเอง
ในส่วนของอุปกรณ์เครือข่าย ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์กระจายสัญญาณไร้สายสำหรับการทำงานจากระยะไกล (Remote Access Point) แบบประสิทธิภาพสูงจะต้องง่ายต่อการนำมาติดตั้งใช้งาน สามารถทำ Zero-Touch Provisioning ซึ่งเป็นคุณสมบัติแบบเสียบปลั๊กแล้วใช้ได้ทันที (Plug-and-Play) โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือโดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในการตั้งค่า ช่วยให้มั่นใจได้ว่าพนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแอพพลิเคชันที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องในธุรกิจขนาดใหญ่
Singapore Press Holdings Limited องค์กรสื่อชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ และ The State Cooperative Bank for the State of Telangana (TSCAB) ธนาคารสหกรณ์แห่งรัฐในประเทศอินเดีย ทั้งสองแห่งเป็นตัวอย่างขององค์กรที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายของตนให้มีความมั่นคง ยืดหยุ่นและปรับขยายขนาดได้โดยคำนึงถึงความต้องการของพนักงานและลูกค้าเป็นอันดับแรก ซึ่งมีความสำคัญมากในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้

ผสานความมั่นคงปลอดภัยให้กับทั้งระบบเครือข่าย
ในการเปลี่ยนผ่านสู่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด องค์กรต่าง ๆ ยังใช้ชุดอุปกรณ์ IoT เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด และมีการปรับตัวอย่างมีพลวัตรได้มากยิ่งขึ้น แต่ขอบข่ายที่ขยายออกครอบคลุมอุปกรณ์เหล่านี้กลับทำให้ระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย (Security) มีช่องโหว่เกิดขึ้นชัดเจน เนื่องจากโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยแบบเดิมจากหลายผู้ผลิตต่างถูกยึดติดกับสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบปะติดปะต่อไม่ผสานกลมกลืนกัน จึงกลายเป็นช่องโหว่ที่ดึงดูดการโจมตีจากผู้คุกคามที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้นำธุรกิจต้องมุ่งความสนใจไปกับการผสานความสัมพันธ์ระหว่างระบบเครือข่ายและระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัย การเกิดขึ้นของ Secure Access Service Edge (SASE) กำลังเร่งการผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองหน้าที่การทำงานนี้
ตามการจัดวางแบบดั้งเดิม องค์กรจะแยกระบบรักษาความปลอดภัยออกจากระบบเครือข่ายโดยถือว่าเป็นส่วนเสริม ซึ่งเป็นการเพิ่มความซับซ้อนจนยากที่จะมองเห็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากระบบเครือข่ายเริ่มส่งและประมวลผลข้อมูลที่ปลายทาง (Edge) จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องแยกระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยออกจากระบบเครือข่าย ในทางกลับกันโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยต่าง ๆ สามารถประสานเข้ากับระบบเครือข่ายเพื่อการค้นหาช่องโหว่ได้อย่างทันท่วงที (Real-Time) นี่คือที่มาของ SASE ที่จะเป็นตัวประสานการทำงานที่แตกต่างกันเหล่านี้ เพื่อให้ได้การเชื่อมต่อที่ราบรื่นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยแบบคลาวด์ (Cloud-Delivered Security Capability) ที่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้อย่างครอบคลุม

อนาคตคือการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบ Edge-to-Cloud
ขณะนี้เรากำลังเป็นพยานของช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบเครือข่ายและระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัย องค์กรต่าง ๆ สามารถประเมินการให้บริการของแพลตฟอร์มต่าง ๆ และมีสิทธิเลือกอย่างอิสระในการรวมโซลูชันระบบเครือข่ายที่ดีที่สุดและโซลูชันการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของตนมากที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือต้องสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจขององค์กร
แนวทางนี้เป็นการวางรากฐานสำหรับองค์กรในการปรับตัว เอาชนะความท้าทายในการปรับรูปแบบการทำงานเข้ากับระบบไฮบริด และตามติดทิศทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปให้เท่าทัน