อรูบ้า (Aruba) บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE) ประกาศศักดาด้วยการเปิดตัวความสามารถและโซลูชันใหม่สำหรับ Aruba ESP (Edge Services Platform) ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในเรื่องการดูแลระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความคุ้มค่าสูงสุดในการใช้งานระบบไอทีสำหรับองค์กรธุรกิจ เปี่ยมล้นด้วยความสามารถใหม่ด้าน AIOps, Security และ IoT Operations ในแบบ Cloud Native และ Edge Switch รุ่นใหม่ ช่วยให้องค์กรที่ทำงานจากหลายสถานที่สามารถฝ่าฟันผ่านยุคโควิดแพร่ระบาดได้อย่างมั่นคง
ในงานสัมมนาออนไลน์ HPE Discover 2021: The Edge-to-Cloud Conference ที่เพิ่งผ่านมา อรูบ้า (Aruba) บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE) ได้ประกาศเปิดตัวความสามารถและโซลูชันใหม่สำหรับ Aruba ESP (Edge Services Platform) ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การดูแลระบบเครือข่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานระบบไอทีระดับสูงสุดสำหรับองค์กรธุรกิจ การอัปเดตครั้งนี้ครอบคลุมถึงความสามารถใหม่ของ Aruba Central ในด้าน AIOps, IoT และ Security ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายแบบ Cloud-Native ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อันเป็นหัวใจของ Aruba ESP รวมถึงยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตระกูล Aruba CX Switching รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ Intelligent Edge โดยเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้จะทำให้ฝ่ายไอทีสามารถขยายระบบเครือข่ายให้ครอบคลุมได้ตั้งแต่ระดับส่วนปลายจนถึงคลาวด์ (Edge-to-Cloud) อย่างไร้รอยต่อบนระบบโครงสร้างพื้นฐานเดียวที่มีความคล่องตัวและความง่ายดายยิ่งกว่าเดิม อันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรธุรกิจที่ต้องทำงานได้จากหลายสถานที่อย่างในทุกวันนี้
สถานการณ์ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบอย่างถาวรต่อองค์กรธุรกิจและสร้างความท้าทายต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม ในช่วงแรกนั้นองค์กรธุรกิจต่างต้องเร่งปรับตัวและมุ่งเป้าไปที่การทำให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้ แต่มาถึงวันนี้ เมื่อองค์กรธุรกิจต่างได้รับบทเรียนจากปีก่อน ๆ กันมาแล้ว ล้วนเริ่มเห็นว่าไม่ใช่แค่การปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่จะต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอีกด้วยเพื่อให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีมีความยืดหยุ่นและมั่นคงทนทานมากยิ่งขึ้นสำหรับเตรียมรับต่อความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต[1]
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่องค์กรธุรกิจต้องพิจารณาก็คือรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปสู่การทำงานจากหลายสถานที่ โดยไม่เพียงแต่แอพพลิเคชันกับระบบงานเท่านั้นที่ถูกกระจายไปยังศูนย์ข้อมูลและ Cloud หลายแห่ง แต่ผู้ใช้งานเองก็ต้องทำงานจากหลายสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นภายในอาคารขององค์กร ภายในศูนย์ข้อมูล ทำงานจากสาขา หรือแม้แต่การทำงานจากภายนอกองค์กร ในขณะเดียวกันระบบเครือข่ายมีความกระจัดกระจายมากขึ้น มีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายทำงานร่วมกัน ทำให้มีเครื่องมือบริหารจัดการที่แตกต่างกันไปในแต่ละระบบที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละพื้นที่
ผลลัพธ์จากความซับซ้อนของระบบไอทีทำให้ธุรกิจไม่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี อย่างเช่น IoT หรือ Cloud เท่าที่ควร อีกทั้งยังสร้างผลลัพธ์เชิงลบที่เกิดขึ้นกับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและประสบการณ์ของลูกค้าด้วยในเวลาเดียวกัน ขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังดำเนินโครงการด้าน Digital Transformation ฝ่ายไอทีก็ตกอยู่ภายใต้ความกดดันสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากต้องพยายามติดตั้ง ใช้งาน และบริหารจัดการเทคโนโลยีหรือโซลูชันต่าง ๆ ให้เป็นแบบอัตโนมัติเพื่อลดความซับซ้อนและทำให้การดูแลรักษามีความเป็นระบบมากขึ้น
ความสามารถในการบริหารจัดการแบบ Cloud-Native สำหรับระบบที่เป็นหนึ่งเดียว
แนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดความซับซ้อนทางด้านไอทีได้นั้นคือการติดตั้งใช้งานระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหนึ่งเดียว (Unified Infrastructure) ซึ่งสามารถบริหารจัดการได้จากศูนย์กลาง โดยลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความง่ายดายของระบบเครือข่ายจากเทคโนโลยีล้ำสมัยของ Aruba Central และ ArubaOS 10 (AOS 10) ที่เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครือข่ายหนึ่งเดียวที่นำความสามารถของ WLAN และ SD-Branch มารวมเข้าด้วยกัน ด้วยแนวทางดังกล่าวนี้ฝ่ายไอทีจะสามารถบริหารจัดการระบบเครือข่ายที่กระจายตัวอยู่หลายพื้นที่ในสาขาย่อย สาขาทั่วไป และสาขาหลักขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้ด้วยสถาปัตยกรรมเดียว ซึ่งบริหารจัดการได้อัตโนมัติจากหน้าจอบริหารจัดการเดียวเท่านั้น
ความสามารถใหม่ในการบริหารจัดการแบบ Cloud-Native ของ Aruba Central ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ HPE’s Compute Cloud Console ซึ่งเพิ่งมีการประกาศเปิดตัว ได้แก่
เมื่อนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเหล่านี้มาทำงานร่วมกันจะช่วยผลักดันวิสัยทัศน์ของอรูบ้าให้ถูกขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ในเรื่องการส่งมอบระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหนึ่งเดียวไปพร้อมกับการดูแลรักษาที่ง่ายดายในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพื่อให้ฝ่ายไอทีสามารถนำทรัพยากรที่มีค่าของตนเองไปใช้สำหรับงานที่ส่งผลสำคัญต่อการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้โดยตรง
Jesus Orozco ผู้ดูแลระบบ Santa Barbara Unified School District กล่าวว่า “ด้วยอุปกรณ์จำนวนมากกว่า 17,000 ชิ้นที่ถูกแจกจ่ายออกไปในสาขา 16 แห่งเพื่อรองรับนักเรียนจำนวน 14,000 คน องค์กรของเราจึงต้องทำงานจากหลายสถานที่ให้ได้มากที่สุด ในสภาวะแบบโรงเรียนเช่นเราที่การเชื่อมต่อเครือข่ายของอุปกรณ์นั้นถือเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเรียน การที่ระบบเครือข่ายไม่สามารถให้บริการได้นั้นจึงถือเป็นสิ่งที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งเทคโนโลยีของอรูบ้าได้ทำให้เราสามารถบริหารจัดการเครือข่ายทั้งหมดในแบบเชิงรุกจากศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว ทำให้เราสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดายก่อนที่ปัญหานั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความสามารถใหม่ ๆ ใน Aruba Central และ ArubaOS 10 ที่ช่วยให้เรามุ่งเข้าไปใกล้เป้าหมายในการสร้างระบบเครือข่ายที่มีความรวดเร็ว มั่นคง ปลอดภัย เชื่อมต่อใช้งานได้อยู่เสมอเพื่อช่วยให้นักเรียนของเราใช้งานและสื่อสารได้มากยิ่งขึ้น”
Aruba Central เป็นส่วนหนึ่งของ Aruba ESP ที่มีการนำไปใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ Aruba Central สามารถบริหารจัดการอุปกรณ์ของผู้ใช้งานจำนวนมากกว่า 100 ล้านชิ้น และบริหารจัดการอุปกรณ์เครือข่ายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นในองค์กร 100,000 แห่งทั่วโลก
เพิ่มขยายระบบเครือข่ายให้ตอบรับต่อความต้องการขององค์กรที่ทำงานจากหลายสถานที่
เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่มีโจทย์ความต้องการในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายของอรูบ้าได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หลักในตระกูล CX Switching เพิ่มอีก 2 รุ่น ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ตระกูล CX Switching รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ระบบปฏิบัติการ AOS-CX ที่เป็นแบบ Cloud-Native เข้าถึงระบบเครือข่ายได้หลากหลายยิ่งขึ้น ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการริเริ่มโครงการใหม่ ๆ และเปิดรับโอกาสใหม่ทางธุรกิจได้ตามต้องการ
Bob Laliberte ผู้อำนวยการ Senior Analyst และ Practice บริษัท Enterprise Strategy Group กล่าวว่า “การพัฒนาในช่วงปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เราเห็นว่าองค์กรที่ทำงานจากหลายสถานที่นั้นจะยังคงเป็นแนวโน้มต่อเนื่องไปอีกยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรต่างมองหาวิธีการที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจสามารถปรับตัวรับมือกับความท้าทายใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต งานวิจัยของเราได้แสดงให้เห็นว่าองค์กรต่างเร่งดำเนินโครงการ Digital Transformation และให้ความสำคัญกับโครงการที่เพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นคงปลอดภัย และการสื่อสารในการทำงาน อย่างไรก็ดีสภาพแวดล้อมที่กระจายตัวเป็นอย่างมากได้สร้างความซับซ้อนยิ่งขึ้นให้กับระบบไอที ดังนั้นความต้องการในเทคโนโลยีและโซลูชันที่จะต่อยอดจากข้อมูลและการทำงานอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานและการบริหารจัดการให้เป็นระบบจึงมีอยู่จริงในตลาด”
กำหนดวางจำหน่าย
ความสามารถใหม่ ๆ ในซอฟต์แวร์ของ Aruba Central และอุปกรณ์ CX Switch รุ่นใหม่นี้จะพร้อมวางจำหน่ายภายในปีนี้ โดยโซลูชันทั้งสองจะมีทั้งในรูปแบบ as-a-service, Managed Service และ GreenLake for Aruba
ข้อมูลเพิ่มเติม