แลนเซสส์ (LANXESS) บริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ประกาศอย่างมั่นใจกับธุรกิจในปีการเงิน 2564 จะสดใสยิ่งขึ้น คาดอุตสาหกรรมของลูกค้าส่วนมากจะกลับมาฟื้นตัว และตลอดทั้งปีแลนเซสส์จะกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA pre Exceptionals) อยู่ระหว่าง 900 – 1,000 ล้านยูโร
แลนเซสส์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าแข็งแกร่งในปีการเงิน 2563 ในขณะที่ทั้งโลกถูกคุกคามด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA pre Exceptionals) ที่ 862 ล้านยูโร ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขของปีก่อนที่ 1.019 พันล้านยูโรเพียง 15.4 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นรายได้จึงอยู่ในอันดับต้น ๆ จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะทำได้ในระหว่าง 820 - 880 ล้านยูโร เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางกลุ่มบริษัทได้เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นของไตรมาสที่ 4 ที่แข็งแกร่ง หลายกลุ่มธุรกิจมีการพัฒนาที่ดีเกินคาด สัดส่วนของกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำน่าย จากการดำเนินงานตามปกติ (EBITDA Margin pre Exceptionals) อยู่ที่ 14.1 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 15.0 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
Matthias Zachert ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท LANXESS AG กล่าวว่า “ในปี 2563 ที่เพิ่งผ่านไปแม้ทั้งโลกจะประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ผลการดำเนินงานของเรายังคงออกมาดีและจบลงได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 4 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของเราแสดงให้เห็นถึงสถานะที่มั่นคงของทั้งกลุ่มบริษัทที่สามารถยืนหยัดต่อสู้ฝ่าฟันภาวะวิกฤตครั้งสำคัญนี้ ขอขอบคุณพนักงานทุกคนในทีมแลนเซสส์ทั้งหมดที่พยายามทำทุกวิถีทางในปีที่ยากลำบากนี้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ด้วยทีมงานและตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของเรา ทำให้เราจะสามารถรับมือกับปี 2564 ด้วยการมองโลกอย่างสดใสและมุ่งเน้นทุ่มพลกำลังไปที่การเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”
ยอดขายของกลุ่มแลนเซสส์ในปี 2563 ทั้งปีอยู่ที่ 6.104 พันล้านยูโร ลดลง 10.3 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 6.802 พันล้านยูโร รายได้สุทธิ (Net Income) จากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 908 ล้านยูโรเทียบกับ 240 ล้านยูโรในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากรายได้จากการขายหุ้นใน Currenta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเคมีในประเทศเยอรมนีเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ในส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิของแลนเซสส์ลดลงจาก 1.742 พันล้านยูโร ณ สิ้นปีการเงิน 2562 มาเป็น 1.012 พันล้านยูโร ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563
แม้จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ยังคงเสนอเพิ่มเงินปันผลอีกครั้ง
เงินปันผลจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งสำหรับปีพิเศษ 2563 คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการกำกับจะเสนอเงินปันผลในอัตรา 1.00 ยูโรต่อหุ้น - มากกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5 – ต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เป็นเงินทั้งหมดประมาณ 87 ล้านยูโร
การปรับโครงสร้างธุรกิจยังดำเนินต่อไปโดยมุ่งเป้าไปที่การเติบโต
ในปี 2563 แลนเซสส์ได้ขายธุรกิจเคมีภัณฑ์เมมเบรนและโครเมี่ยม รวมถึงธุรกิจเคมีภัณฑ์สำหรับเครื่องหนังออกไป นับเป็นการขยับอย่างเป็นระบบออกจากอุตสาหกรรมซึ่งไม่สอดคล้องกับการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ไปยังเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษเพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาให้มีผลกำไรมากขึ้น อีกทั้งการขายหุ้นใน Currenta ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเคมียังช่วยเสริมให้แลนเซสส์มีฐานทางการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น
ในปี 2564 สัญญาณดีทั้งหมดชี้ไปที่การเติบโต โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภค ภายในไม่กี่สัปดาห์แลนเซสส์ได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการ 3 ครั้งตั้งแต่อยู่ในธุรกิจนี้ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ INTACE ผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอไซด์ของฝรั่งเศส ทำให้แลนเซสส์สามารถขยายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมขอบเขตของสารฆ่าเชื้อราสำหรับกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ในอนาคตแลนเซสส์จะขยายธุรกิจมากขึ้นไปยังตลาดสุขอนามัยสัตว์ที่กำลังเติบโต โดยเข้าซื้อกิจการ Theseo ซึ่งมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาฆ่าเชื้อและผู้ให้บริการสุขอนามัย คาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564
ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 บริษัทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของตนด้วยการเข้าซื้อกลุ่ม Emerald Kalama Chemical ในประเทศสหรัฐอเมริกา แลนเซสส์สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคและเข้าถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพสัตว์ กลุ่มแลนเซสส์คาดว่าการทำธุรกรรมนี้จะเสร็จสมบูรณ์ราวครึ่งปีหลังของปีนี้หลังจากได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับของรัฐบาล
“ผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคโดดเด่นด้วยอัตราการเติบโตที่น่าสนใจและอัตรากำไรที่แข็งแกร่ง เราต้องการเติบโตในตลาดนี้และลงมือทำในทันทีตั้งแต่ต้นปี” Zachert กล่าว
พัฒนาการของกลุ่มธุรกิจในปี 2563 กลุ่มผลิตภัณฑ์ปกป้องผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง
ยอดขายและกำไรของกลุ่มธุรกิจสารตัวกลางขั้นสูง (Advanced Intermediates) โดยรวมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในปี 2563 ทำให้มีอุปสงค์ที่อ่อนแอและราคาที่ลดลงส่งผลเสียต่อหน่วยธุรกิจ Advanced Industrial Intermediates โดยเฉพาะ ยอดขายลดลง 11.2 เปอร์เซ็นต์จาก 2.251 พันล้านยูโรเป็น 1.999 พันล้านยูโร โดยมี EBITDA pre Exceptionals อยู่ที่ 336 ล้านยูโร ต่ำกว่าตัวเลข 383 ล้านยูโรของปีก่อนหน้า 12.3 เปอร์เซ็นต์ และมี EBITDA Margin pre Exceptionals เกือบคงที่ที่ 16.8 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 17.0 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจสารเติมแต่งชนิดพิเศษ (Specialty Additives) ยอดขายโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และการบินลดลงอย่างมากเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา อัตราแลกเปลี่ยนยังส่งผลเสียต่อยอดขายและผลกำไรอีกด้วย โดยมียอดขายรวมที่ 1.728 พันล้านยูโร ลดลง 12.1 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 1.965 พันล้านยูโร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่ต้องปรับลดลงเล็กน้อย ทำให้ EBITDA pre Exceptionals ลดลง 19.5 เปอร์เซ็นต์จาก 353 ล้านยูโรเป็น 284 ล้านยูโร และ EBITDA Margin pre Exceptionals สำหรับปีงบประมาณ 2020 อยู่ที่ 16.4 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 18.0 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อนหน้า
ธุรกิจกลุ่มปกป้องผู้บริโภค (Consumer Protection) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ในปี 2563 มีผลการดำเนินงานที่ดีตลอดทั้งปี โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจเคมีเกษตรที่แข็งแกร่งของ Saltigo และความต้องการสารฆ่าเชื้อที่ค่อนข้างสูง ผลกระทบในเชิงบวกจากการเข้าซื้อ IPEL ผู้ผลิตไบโอไซด์ของประเทศบราซิล ช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ยอดขายมีมูลค่า 1.110 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 5.7 เปอร์เซ็นต์จากตัวเลขปีก่อนที่ 1.050 พันล้านยูโร โดยมี EBITDA pre Exceptionals เพิ่มขึ้น 17.7 เปอร์เซ็นต์จาก 198 ล้านยูโรเป็น 233 ล้านยูโร และ EBITDA Margin pre Exceptionals สูงถึง 21.0 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 18.9 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว
กลุ่มธุรกิจวัสดุวิศวกรรม (Engineering Materials) ยอดขายและผลกำไรได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อ่อนแอลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ยอดขายทั้งปีลดลง 17.9 เปอร์เซ็นต์ จาก 1.450 พันล้านยูโรเป็น 1.190 พันล้านยูโร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาขายต้องปรับลดลงและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นลบ EBITDA pre Exceptionals ลดลง 36.6 เปอร์เซ็นต์จาก 238 ล้านยูโรเป็น 151 ล้านยูโร นอกเหนือจากอุปสงค์ที่อ่อนแอแล้วรายได้ยังลดลงอีกด้วย เนื่องจากต้องปิดซ่อมบำรุงโรงงานตามแผนและความยากลำบากในการเริ่มการผลิตใหม่ในเบลเยียมในภายหลัง ส่วน EBITDA Margin pre Exceptionals อยู่ที่ 12.7 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าตัวเลข 16.4 เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้ในปีที่แล้ว