ธุรกิจจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อพนักงานเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบผสมผสานที่เกิดขึ้นจากการมาของ COVID-19 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการจัดซื้อและใช้งานโซลูชันระบบเครือข่ายของฝ่ายไอที โดยในการตอบรับต่อภัยโรคระบาดนี้ผู้นำทางด้านไอทีได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบ Cloud, ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรับประกันคุณภาพเครือข่าย, ระบบประมวลผลที่ Edge และระบบเครือข่ายแบบ AI ให้สอดคล้องกับแผนการกู้คืนธุรกิจที่เริ่มมีความชัดเจน ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้เป็นผลมาจากการสำรวจผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีทั่วโลก (IT Decision-Makers : ITDMs) กว่า 2,400 รายที่ได้รับการสนับสนุนโดยอรูบ้า (Aruba) บริษัทหนึ่งในเครือฮิวเล็ตต์แพ็คการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์
เมื่อผู้นำทางด้านไอทีได้ตอบสนองต่อความท้าทายหลายประการจากการทำให้พนักงานสามารถทำงานจากคนละสถานที่อย่างสิ้นเชิงและการเกิดขึ้นของสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งผู้คนต้องการที่จะทำงานได้จากทั้งภายในบริษัท ที่บ้าน และระหว่างเดินทางได้ ผู้นำทางด้านไอทีเหล่านี้ต้องมองหาวิธีการปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายให้มีวิวัฒนาการต่อไปและเปลี่ยนจากการลงทุนในรูปแบบ CapEx ไปสู่โซลูชันที่สามารถใช้งานในรูปแบบ ‘as a service’ ได้แทน โดยอัตราส่วนเฉลี่ยของการใช้บริการทางด้านไอทีในรูปแบบ Subscription นั้นจะเติบโตขึ้นอีก 38% ภายในระยะเวลา 2 ปีนับจากนี้ที่ทั่วโลกมีสัดส่วน 34% จากการลงทุนด้านไอทีทั้งหมดไปเป็นสัดส่วน 46% ภายในปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) จะมีการเติบโตจากสัดส่วน 35% ไปเป็น 48% โดยในเวลานั้นสัดส่วนขององค์กรที่มีการใช้งานโซลูชันไอทีในรูปแบบ ‘as a service’ เป็นส่วนใหญ่ของการลงทุน (เกิน 50%) นั้นจะมีสัดส่วนเพิ่มอีก 72% ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนทั่วโลกหรือ APAC ก็ตาม
Justin Chiah ผู้อำนวยการอาวุโส (Senior Director) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ไต้หวัน และฮ่องกง/มาเก๊า (SEATH) บริษัท อรูบ้า (Aruba) บริษัทหนึ่งในเครือฮิวเล็ตต์แพ็คการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์ กล่าวว่า “จากการเกิดขึ้นของสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน ผู้นำทางด้านไอทีในสิงคโปร์ได้ถูกร้องขอให้นำเสนอทั้งความยืดหยุ่น ความมั่นคงปลอดภัยและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ Edge อย่างสมดุล เป็นที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าในการตอบรับต่อความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีนั้นจะต้องให้ความสนใจในการลดความเสี่ยงลงและความได้เปรียบด้านค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในรูปแบบ Subscription ซึ่งถึงแม้ว่าองค์กรที่ถูกสำรวจในสิงคโปร์กว่า 85% (77% สำหรับการสำรวจจากทั่วโลก) จะชะลอตัวหรือเลื่อนโครงการออกไปจากการมาของ COVID-19 แต่ธุรกิจก็ยังคงมีความมั่นคงและเริ่มมองหาวิธีการที่จะยังคงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ธุรกิจเหล่านี้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในระบบเครือข่ายแบบ Cloud (38%) ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรับประกันคุณภาพเครือข่าย (42%) ระบบประมวลผลที่ Edge (40%) และเทคโนโลยี AI สำหรับระบบเครือข่าย (28%)”
รายงานฉบับนี้ที่ได้ทำการสำรวจผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีมากกว่า 20 ประเทศใน 8 อุตสาหกรรมหลัก จะมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองของผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจเหล่านี้ต่อความต้องการทางด้านไอทีและธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการมาของ COVID-19 การตัดสินใจด้านการลงทุนที่เกิดขึ้นในฐานะของผลลัพธ์จากการตอบสนองนี้ และรูปแบบการลงทุนที่ได้รับการพิจารณา ซึ่งมีผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้
ผลกระทบจาก COVID-19 มีนัยสำคัญเป็นอย่างมาก
ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีระบุว่าผลกระทบจาก COVID-19 นี้ส่งผลเป็นอย่างมากกับทั้งพนักงานและการลงทุนระยะสั้นด้านระบบเครือข่าย :
อนาคตยังคงสดใส : การลงทุนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใหม่ที่เกิดขึ้น
ในทางกลับกันแผนการสำหรับอนาคตนั้นถูกวางอย่างแข็งขัน โดยผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีส่วนมากกำลังวางแผนเพื่อที่จะลงทุนเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นสำหรับระบบเครือข่ายท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เนื่องจากพวกเขาต้องสนับสนุนตอบรับความต้องการใหม่ ๆ ของพนักงานและลูกค้า
การเลือกใช้แนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่กำลังเติบโต
เมื่อผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีได้วางแผนการลงทุนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พวกเขาได้มองหาทางเลือกวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่เพื่อให้เกิดความสมดุลสูงสุดระหว่างคุณค่าและความยืดหยุ่น
“ด้วยความต้องการของลูกค้าและพนักงานที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหลากหลายแง่มุมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่จะเห็นผู้นำทางด้านไอทีมองหาโซลูชันที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พวกเขาถูกผลักดันให้ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและต้องมั่นใจว่าระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนและกระจายตัวขึ้นนี้จะยังคงสร้างประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานต้องการได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ความต้องการในการบริหารจัดการระบบเครือข่ายได้อย่างคล่องแคล่วและยืดหยุ่นนี้มีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยจากผลสำรวจทั่วโลกก็ได้แสดงให้เห็นว่า 58% ของผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางด้านไอทีในภูมิภาค APAC จะพิจารณาโซลูชันแบบ Managed Service ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 53% เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจในภูมิภาค APAC มองอนาคตในทางที่ดี” Chiah กล่าวต่อ
แม้ว่าภัยโรคระบาดนี้จะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อโครงการต่าง ๆ ในหลากหลายระดับ งานวิจัยนี้ได้แนะนำว่าผลกระทบเหล่านี้จะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนในระยะกลางสำหรับเทคโนโลยีระบบเครือข่ายที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้น และเปลี่ยนไปสู่รูปแบบการลงทุนที่ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นซึ่งสามารถจำกัดการลงทุนในช่วงแรกเริ่มได้ แนวโน้มที่เคยเกิดขึ้นในสัดส่วนที่คงที่นั้นจะเริ่มเติบโตขึ้น รวมถึงการย้ายไปสู่ระบบ Edge และการใช้งานระบบเครือข่ายที่ชาญฉลาดแบบ Cloud และมี AI คอยช่วยเหลือด้วย
ผู้ที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันไอทีที่ยืดหยุ่นของอรูบ้า กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ https://www.arubanetworks.com/solutions/technology-solutions/