บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก ตั้งเป้าทำสัญญาซื้อขายถ่านหินกับลูกค้าในเวียดนามต่อเนื่องเป็นปีที่สอง มากกว่า 2 ล้านตัน สอดคล้องกับความต้องการนำเข้าถ่านหินที่สูงขึ้นของเวียดนาม พร้อมเดินหน้ามองหาโอกาสลงทุนเพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจหลักภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ธุรกิจของกลุ่มบ้านปูฯ ในอนาคต
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เวียดนาม เป็นประเทศที่ 10 ที่บ้านปูฯ มองเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจ เนื่องจากประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีความเติบโตด้านความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง โดยแผนพีดีพีของเวียดนามคาดการณ์ว่าในปี 2573 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศเวียดนามจะสูงขึ้น 2 เท่าตัว เป็น 130 กิกะวัตต์ สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยถ่านหินยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ปริมาณถ่านหินภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงมีความจำเป็นในการนำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศ ในปีที่ผ่านมา บ้านปูฯ ได้ส่งถ่านหินไปยังเวียดนามคิดเป็นจำนวน 1.3 ล้านตัน ซึ่งเรามีความพร้อมและศักยภาพที่จะจัดหาและขนส่งถ่านหินที่มีคุณภาพดีและหลากหลายตามที่ลูกค้าต้องการทั้งจากแหล่งผลิตของเราเองที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลีย และจากเครือข่ายคู่ค้า ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2562 จากความเชื่อมั่นของลูกค้าในเวียดนามที่มีต่อบ้านปูฯ โดยเฉพาะการมีลูกค้าที่หลากหลายของเราแล้ว เราตั้งเป้าเพิ่มปริมาณส่งมอบถ่านหินเป็นจำนวนกว่า 2 ล้านตัน”
นอกจากความแข็งแกร่งด้านการผลิตและจำหน่ายถ่านหินที่มีความโดดเด่น ในปี 2561 บริษัทฯ ได้จัดตั้งสำนักงานที่นครโฮจิมินห์ขึ้น เพื่อบริหารจัดการด้านการขายของธุรกิจถ่านหินครอบคลุมการดำเนินการด้านการตลาดและการให้บริการลูกค้า การวิจัย การทำสัญญาซื้อขาย และระบบโลจิสติกส์ นอกจากนี้ สำนักงานแห่งนี้ยังตอบโจทย์การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม รวมถึงศึกษาโอกาสในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปเพิ่มเติมอีกด้วย
“จากความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ในทุกประเทศที่ไปดำเนินธุรกิจและความแข็งแกร่งและมีวินัยทางการเงิน ประกอบกับการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักบรรษัทภิบาล เราจึงมั่นใจในการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร และยังคงมองหาโอกาสลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ให้กับองค์กรอย่างมั่นคงภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การตลาด การค้า โลจิสติกส์ และการจัดหาเชื้อเพลิง และสายส่ง) กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (โรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป และจากพลังงานทดแทน) และ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ระบบจัดเก็บพลังงาน และระบบการจัดการเทคโนโลยีพลังงาน) ทั้งในประเทศเวียดนามและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสร้างฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ธุรกิจในอนาคต และเสริมศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มและผลตอบแทนที่ดีและต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยาว” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย