เนื้อหาวันที่ : 2007-12-12 11:20:51 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2511 views

อินเทลและไมโครซอฟท์ ผนึกรัฐและเอกชน เปิดศูนย์คอมฯเพื่อการศึกษา

อินเทล และไมโครซอฟท์ หนุนให้เอกชนซื้อชุดคอมฯ บริจาคโรงเรียนที่ยังขาดแคลน ภายใต้ชื่อโครงการใหม่ว่า School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา

.

หนุนให้เอกชนซื้อชุดคอมฯ บริจาคโรงเรียนที่ยังขาดแคลน ยอดเงินบริจาคนำมาหักภาษีได้มากถึง 2 เท่า รายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ภายใต้ชื่อโครงการใหม่ว่า School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา

.

หลังจากเปิดโครงการ Community e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อชุมชนไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อินเทลและสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทยเดินหน้าต่อยอดโครงการฯ โดยผนึกกำลังอย่างแข็งขันกับไมโครซอฟท์ และหน่วยงานภาครัฐคือกระทรวงศึกษาธิการ กรมสรรพากร และบริษัท ไปรษณีย์ไทย เพื่อเร่งขยายโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีจากเฉพาะในเขตชุมชนเข้าสู่โรงเรียนทั่วประเทศที่ยังขาดแคลนห้องคอมพิวเตอร์ ให้นักเรียนได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาได้อย่างเต็มที่ ภายใต้ชื่อโครงการใหม่ว่า School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา

.

นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า " โครงการ School e-Center: คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา เป็นโครงการส่วนขยายจากโครงการ Community e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อชุมชน ที่อินเทลริเริ่มร่วมกับพันธมิตรเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองโครงการมีจุดมุ่งหมายตรงกันในการขยายศูนย์   คอมพิวเตอร์แบบเบ็ดเสร็จไปยังชุมชนและโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยี และเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้

.

โดยโครงการส่วนขยายนี้มุ่งเชิญชวนให้องค์กรธุรกิจหรือนิติบุคคลต่าง ๆ มาร่วมเป็นผู้บริจาคเงินในการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยผู้บริจาคสามารถนำยอดการบริจาคดังกล่าวไปหักลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากรได้สูงสุดถึง 2 เท่า เพราะเป็นการบริจาคเพื่อการศึกษา นอกจากนี้ พันธมิตรทุกรายจะร่วมกันนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการบริจาคขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา"

.

หน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันในโครงการ School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาอีกรายคือบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยนางสาวปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า โครงการนี้นับเป็นความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการผนึกกำลังกันระหว่างผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อจัดหาคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนทั่วประเทศได้ใช้คอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ ทั้งฮาร์ดแวร์ที่ดีมีคุณภาพรวมทั้งซอฟต์แวร์หรือคอนเท้นท์ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา

.

นอกจากนี้โครงการนี้ยังตรงกับความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ที่จะนำเอาเทคโนโลยีไปช่วยยกระดับการพัฒนาในประเทศภายใต้โครงการ Unlimited Potential ในด้านการปฏิรูปการศึกษา (Transforming Education) และด้วยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย เยาวชนไทยจะมีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้ค้นพบศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของตนเอง"

.

นอกจากนี้กลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ไทย (ทีซีเอ็ม) ได้แก่ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท เมโทรโปรเฟสชั่นแนลโปรดักส์ จำกัด และบริษัท เพลินจิต คอมเทค จำกัด ซึ่งอยู่ภายใต้สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (เอทีซีไอ) จะยังคงเป็นผู้ผลิตและติดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ในโครงการฯ

.

พร้อมทั้งดูแลในด้านการฝึกอบรมบุคลากรที่เป็นผู้ดูแลศูนย์ฯ ตลอดจนการดูแลรักษาเป็นเวลา 1 ปี ทั้งนี้ศูนย์คอมพิวเตอร์หนึ่งชุดมีราคารวมเข้าด้วยกันแบบเบ็ดเสร็จชุดละ 200,000 บาท โดยเป็นราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดซึ่งอยู่ที่ประมาณ 350,000 บาท โดยบริษัท ห้างร้าน หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจบริจาคศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center หมายเลข 1800-888-288 (โทรฟรี)

.

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า "กระทรวง ศึกษาธิการ และภาคเอกชนที่ร่วมดำเนินโครงการฯ ได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันที่จะรับบริจาคเพื่อจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ที่ขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้ได้อย่างน้อย 800 แห่งภายในปีนี้ ทั้งนี้ความร่วมมือจากภาคเอกชนในครั้งนี้

.

นอกจากจะส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนในชนบทที่ห่างไกลมีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในเมืองแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของภาคเอกชนที่จะส่งเสริมให้การจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเป็นไปตามเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย"

.

โครงการ School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษานี้ ยังได้การสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยนอกจากกระทรวงศึกษาธิการที่จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูลของโรงเรียนที่มีความขาดแคลนศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาแล้ว ยังได้รับการอำนวยความสะดวกในด้านการหักภาษีจากกรมสรรพากรตามมาตรการทางภาษี "ให้ 1 ได้ 2" รวมทั้งบริษัท ไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจัดส่งชุดศูนย์คอมพิวเตอร์ไปยังโรงเรียนที่ได้รับการจัดสรรอีกด้วย

.

ในโอกาสเดียวกันนี้ มีองค์กรภาคเอกชนที่ซื้อชุดคอมพิวเตอร์จากโครงการดังกล่าวมอบให้แก่โรงเรียนแล้ว 1 แห่งด้วยกัน คือ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

.

โครงการ School e-Center: ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา  สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของโครงการ Intel World Ahead ซึ่งอินเทลได้ประกาศเปิดตัวทั่วโลกเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและการศึกษาได้เร็วขึ้น  โครงการ Intel World Ahead นับเป็นยุทธศาสตร์เดิมในการบูรณาการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านดิจิตอลของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ผู้สนใจสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ Intel World Ahead ได้ที่  http://www.intel.com/worldahead