ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก เตรียมสานต่อการเติบโตทางธุรกิจซึ่งเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก ในปี 2017 เดินหน้าขยายธุรกิจในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง โดยปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานเพื่อรองรับการพลิกผันของธุรกิจในยุคดิจิทัลและความคาดหวังของผู้บริโภคในเมืองไทยที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยในปีที่ผ่านมา ดีเอชแอลได้ประกาศการลงทุนถึง 2.7 พันล้านบาทภายในปี ค.ศ.2020 เพื่อการดำเนินงานแบบครบวงจร (End-to-end Operations) ในกลุ่มตลาดประเทศไทย (ไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาค เนื่องจากดีเอชแอลเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตอีกมากมายในประเทศไทย
ดีเอชแอลพัฒนาการดำเนินงานและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่กำลังพลิกผันอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้ลูกค้าของบริษัทยังคงความได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกธุรกิจ ผ่านการใช้โซลูชั่นและกระบวนการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ทั้งในส่วนการดำเนินงานคลังสินค้าและการขนส่ง โดยมีการใช้นวัตกรรม ดังนี้
Ring Scanner Collaborative Robots
Telematics
ดีเอชแอลยังทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวางกลยุทธ์และแผนการลงทุนที่เหมาะสมในด้านเทคโนโลยีเพื่อการปรับเปลี่ยนการทำงานซัพพลายเชนไปสู่ระบบดิจิทัล
ปัจจุบัน ดีเอชแอลได้นำเสนอ Resilience360 ซึ่งเป็นระบบแพลตฟอร์มการบริหารความเสี่ยงในซัพพลายเชนที่ทำงานบนคลาวด์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถประเมินจุดที่จะเกิดความเสี่ยงเพื่อวางแผนการรับมือได้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันได้นำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในทุกแห่งแม้แต่ในระดับบ้านพักอาศัย โดยดีเอชแอลได้นำมาใช้ในสถานที่ปฏิบัติงานเพื่อแสดง “แผนที่ความร้อน (Heat Maps)” ซึ่งจะแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดในคลังสินค้า สำหรับใช้ในการพัฒนาการใช้งานทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน
มีการบริการและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองเทรนและความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค อาทิ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้พลังงานทดแทน การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ บริการแบบหลายช่องทาง (Omni-Channel) ระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing economy) และอื่น ๆ อีกมากมาย และเพื่อตอบสนองต่อเทรนดังกล่าว ดีเอชแอลได้ผสมผสานนำระบบ และโซลูชั่นการให้บริการที่ดีทีสุด รวมถึงพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญผสานการทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า ไปพร้อมกับการรักษามาตรฐานระดับสูงของดีเอชแอล ทั้งในด้านความเชื่อมั่นของการให้บริการและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
รายงานการวิจัยของดีเอชแอลเมื่อเร็ว ๆ นี้[1] เรื่องการปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลในซัพพลายเชน พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอน “การพัฒนา” เพื่อเริ่มใช้เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนการทำงานซัพพลายเชนไปสู่ระบบดิจิทัล และมีบริษัท 60% วางใจให้ผู้บริการด้านลอจิสติกส์ (3PL) ลงทุนด้านเทคโนโลยีมากกว่าการลงทุนเองภายในองค์กร
มร.เควิน เบอร์เรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ดีเอชแอล เป็นผู้นำในนวัตกรรมการบริหารจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง และตอกย้ำความพร้อมเพื่อนำเสนอบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้นวัตกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนตลอดทั้งซัพพลายเชน ซึ่งครอบคลุมถึงกระบวนการทำงาน ทีมงาน คลังสินค้า และอุปกรณ์ติดตั้งในรถขนส่งและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เรามั่นใจว่า จะสามารถรักษาชื่อเสียงในฐานะผู้นำที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ด้านลอจิสติกส์โซลูชั่น นอกจากนี้ดีเอชแอล ซัพพลายเชน จะยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งและสนับสนุนธุรกิจในตลาดต่าง ๆ ที่เราเป็นผู้นำอยู่ ทั้งไทยและเวียดนาม และจะลงทุนเพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ธุรกิจในประเทศอื่น ๆ อาทิ เมียนมาร์และกัมพูชา”
ดีเอชแอล ซัพพลายเชน นำเสนอบริการที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยี อุตสาหการ วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการดูแลสุขภาพ พลังงาน และเคมีภัณฑ์
ดีเอชแอล ซัพพลายเชนประเทศไทยมีพนักงานกว่า 12,000 คนในสถานที่ปฏิบัติงาน 70 แห่ง โดยมีคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารวมพื้นที่กว่า 650,000 ตารางเมตร และรถขนส่งกว่า 4,000 คัน
[1] ‘Digitalization and the supply chain: Where are we and what’s next?’