เนื้อหาวันที่ : 2007-11-28 09:26:37 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 2274 views

รู้จักตัวเอง ก่อนจะเป็น นักจัดการ

การรู้จักตัวเองมีค่าอย่างยิ่งสำหรับคนที่ตั้งใจจริง ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องในฐานะผู้จัดการ/หัวหน้างาน ถ้าท่านไม่รู้จักตัวเอง และทางเดินที่กำลังดำเนินอยู่

การรู้จักตัวเองมีค่าอย่างยิ่งสำหรับคนที่ตั้งใจจริง ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องในฐานะผู้จัดการ/หัวหน้างาน ถ้าท่านไม่รู้จักตัวเอง และทางเดินที่กำลังดำเนินอยู่ เมื่อเนิ่นนานไป มันอาจยากที่จะแก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้เลย มีผู้บริหารจำนวนมาก ที่เกษียนจากงาน และมาพบงานที่ทำแล้วมีความสุขมากกว่างานก่อนเกษียน และประสบความสำเร็จมากกว่า ยอมสารภาพว่า งานที่ตัวเองเคยทำเป็นเหมือนฝันร้าย และตัวเองไม่น่าจะทนอยู่กับฝันร้ายนั้นนานถึงเพียงนี้

.

บทความนี้ถือโอกาสนำเอาเรื่องที่นักจัดการทุกท่าน ควรจะอ่านและทบทวนตัวเอง เพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่า ตัดสินใจได้ถูกต้องหรือเพื่อปรับตัวได้ทันก่อนที่จะสายไป เป็นการไม่ถูกต้องเสียทั้งหมดที่จะแนะนำว่า การรู้จักตัวเองเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของนักจัดการ ผู้จัดการที่ดีต้องการทักษะในด้านต่าง ๆ และความรู้ซึ่งมาพร้อมกับประสบการณ์ ท่านต้องฝึกทักษะในด้านต่าง ๆ รับคำแนะนำ รู้จักและใช้จุดแข็งของผู้อื่นให้ทำงาน และตัวเองก็ต้องทำงานหนักด้วย และท่านแทบจะไม่ลำบากเลย เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกงานที่เหมาะสมสำหรับตัวท่านเอง และทำงานปัจจุบันของท่านให้ดีที่สุด

.

ปัญหาก็คือ ปัจจุบันเราแทบไม่มีเวลาจะหยุดและคิดว่า เดี๋ยวก่อน ฉันต้องการทำงานนี้จริง ๆ หรือ?” มีแรงกดดันต่าง ๆ ที่ทำให้คนเรามุ่งตรงเข้าหางานทำทันที หลังจบการศึกษาแรงกดดันเหล่านี้ เช่น งานที่ดีมีน้อย ต้องจ่ายค่าเช่า ความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับของสังคม ความต้องการที่จะเป็นคนมีค่าแก่สังคม ความต้องการที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกเหนืองานที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และค่านิยมทางสังคม

.

การจับคู่ตัวเองกับงานที่ผิด เกิดขึ้นได้และจะทำให้ทักษะที่ติดตัวเรามาแต่เกิดหรือที่สร้างสรรค์มาอย่างดีแต่เด็ก ถูกบดบังด้วยความต้องการเพียงแต่อยากจะประสบความสำเร็จตามค่านิยมของสังคม ที่บางครั้งถูกปั้นแต่งจากคนเฉพาะกลุ่ม หรือหวังผลทางการค้า หรือเพราะว่าดูจะเป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะมุ่งแค่ทำงานที่สนุกสนานหรือตรงกับทักษะที่ติดตัวมา มีบริษัทหลายแห่งที่พยายามหาวิธีทดสอบ ผู้ที่สมัครงานว่าเหมาะกับงานที่สมัครก่อนรับเข้าทำงาน โดยเฉพาะตำแหน่งงานด้านจัดการ หากไม่เช่นนั้นนักจัดการที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง เหล่านี้อาจจะสร้างความเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้ ให้กับองค์กรก็เป็นได้

.
เราทำงานที่เหมาะกับตัวเราหรือเปล่า?
ก่อนที่จะถามตัวเองว่า อันตัวเรานี้เหมาะสมกับการเป็นผู้จัดการ/หัวหน้างานหรือไม่ เราควรถามตัวเองก่อนว่า ลักษณะ/ประเภทงานที่ทำอยู่ปัจจุบันเหมาะกับเราหรือไม่ ค่านิยมและความสนใจของคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ท่านควรถามตัวเองบ่อย ๆ ด้วยคำถามต่อไปนี้ เพื่อที่จะหาว่าท่านยังพอใจกับงานที่ทำอยู่หรือไม่ ข้อแม้คือให้ตอบตามความเป็นจริง เพราะไม่มีคำตอบไหนถูกหรือผิด
.

.

หากว่าคำตอบโดยรวมท่านยังพอใจก็นับว่าเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่ง ที่ปัจจุบันได้ทำงานและอยู่กับสิ่งที่ท่านพอใจแล้ว มีคนอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่พบว่าตัวเองต้องการอะไรหรืออะไรที่เหมาะกับตัวเอง จากคำถามรวมทั้งหมด ถ้าโดยรวมแล้วท่านรู้สึกไม่พอใจกับงานที่ทำอยู่ ถามตัวเองว่าต้องการอะไร ?

.

.

ตัวฉันถนัดงานด้านไหน

จากการตอบคำถามที่ผ่านมา ถ้าท่านยังหาคำตอบได้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ท่านพอใจมากขึ้นในการทำงานปัจจุบัน ก็ขอให้วางแผนในการทำงานเพื่อให้ก้าวไปในเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในทางกลับกัน คือ ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมไม่มีความสุขกับงานที่กำลังทำอยู่ ก็ขอแนะนำว่าให้กลับไปทำงานที่สนุกและถนัด  ท่านรู้แล้วหรือยังว่ามีความถนัดและทักษะอะไรบ้าง ?  พยายามเขียนออกมาเป็นรายการ ให้เหตุผลและให้คะแนนแต่ละรายการที่เขียนมา จากนั้นลองถามตัวเองว่า ปัจจุบัน ท่านกำลังมุ่งไปยังส่วนที่ท่านเองให้คะแนนมากสุดหรือไม่ หากว่าใช่ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย ท่านเป็นบุคคลที่เกิดมาโชคดีที่สุดแล้ว แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเป็นเช่นนั้น  ถ้าเช่นนั้นเราจะเริ่มต้นจากจุดไหนก่อนดีล่ะ

.

เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความถนัดในบางเรื่อง บางคนมีความสามารถในการใช้ภาษาหรือมีทักษะเยี่ยมในกีฬาที่เกี่ยวกับลูกบอล เราได้รับการกระตุ้นให้ฝึกและพัฒนาความสามารถพิเศษนั้น ๆ และผลก็คือ เรามีความถนัดในเรื่องนั้น ๆ อย่างดีเยี่ยม อาจจะเป็นทักษะทางเทคนิค เช่น การเล่นหมากรุก ซ่อมเครื่องยนต์กลไก นักพูด นักเขียน  ไม่ว่าจะเป็นอะไร เรารู้สึกสนุกและพอใจที่จะทำมัน สิ่งนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จเป็นการตอบแทน หากว่าตอนนี้ท่านยังคิดไม่ออก ก็ลองอ่านต่อไปแล้วอาจจะคิดออกก็ได

.

โดยทั่วไปคนจะแสดงตนออกมาเป็นแบบใดแบบหนึ่งใน 2 วิธี พวกแรกคือ พวกชอบเก็บตัว พวกนี้จะมีความสุขเมื่อเขาอยู่กับตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง พวกเขาจะไม่ทำตามอย่างสังคมไปเสียหมด และรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องแสดงตัวท่ามกลางคนมาก ๆ  และอีกพวกหนึ่งคือ พวกชอบแสดงออก คนพวกนี้จะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย หากได้ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และรู้สึกอัดอั้นตันใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว มนุษย์เรารับและประมวลผลข้อมูลโดยผ่านหน้าที่สี่อย่าง คือ การคิด การเข้าใจ การรู้สึก และการรับรู้ แต่ละคนจะมีด้านที่เด่นออกมาหนึ่งด้าน อีกหนึ่งหรือสองด้านที่ได้รับการพัฒนาเพียงครั้งเดียว และอีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้รับการพัฒนาเลย

.

.

1. ในฐานะ นักคิด ท่านจะมีบุคลิกลักษณะ

- มีความคิดที่ชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผล

- ทำงานอย่างเป็นระบบ ตามระเบียบวิธีปฏิบัติ

- สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้ สนุกกับการแก้ปัญหาโดยใช้ตรรกวิทยา

- เก่งในการวิเคราะห์แต่ไม่เก่งในการลงมือแก้ปัญหา

- จะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงงานอยู่ตลอดเวลา เว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลที่ดีและฟังขึ้น

.

งานที่เหมาะกับคนที่เป็นนักคิด คือ งานด้านสืบสวนข้อเท็จจริง งานด้านตัวเลข การค้นคว้าวิจัย วิเคราะห์ระบบ การบัญชี การเงินของธุรกิจ

.

2. สำหรับ ผู้รับรู้ ท่าน

- เก่งด้านการลงมือปฏิบัติ ไม่คอยอดทนต่อขั้นตอนการวางแผน

- รู้สึกสบายกับงานประจำ เหมือนอยู่กับบ้าน

- มีสามัญสำนึกที่ดีและเป็นคนปรับตัวง่าย

- ทำงานหนักและมีระเบียบ

- กระตือรือร้นและตั้งใจมั่น

.

งานที่เหมาะกับ ผู้รับรู้คือ งานการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ติดต่อประสานงาน การต่อรอง แก้ปัญหาแรงงาน งานที่เปลี่ยนจากความคิดให้เป็นรูปธรรมปฏิบัติได้

.

3. “ผู้รู้ผู้เข้าใจ คือผู้ที่

- สนุกกับความคิดและทฤษฎีต่าง ๆ

- เก่งด้านการมอง ภาพรวมแต่พลาดรายละเอียด

- เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการที่ดี

- มักมีลางสังหรณ์ในสิ่งที่จะเกิดผลได้ถูกต้อง

.

งานที่เหมาะกับ ผู้รู้ผู้เข้าใจคือ ถนัดในด้านการวางแผนระยะยาว การเขียนงานที่สร้างสรรค์ การแตกแขนงความคิดออกไป และการระดมสมอง ซ้ำมักเป็นงานที่ไม่ค่อยลงมือปฏิบัติ คล้าย ๆ งานของ นักคิดเช่น งานวางแผนต่าง ๆ

.

4. นักจัดการประเภทสุดท้าย คือ ผู้ที่ใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์ เป็นผู้ที่

- ชอบทำงานในบริษัทที่มีคนทำงานมาก ๆ

- ประเมินคนจากค่านิยมส่วนตัว ไม่ใช่จากความสามารถทางเทคนิค

- เป็นคนอบอุ่น และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

- เป็นคนรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาของผู้อื่นได้ดี

- อาจมองข้ามความจริง ไปเนื่องจากใช้ความรู้สึกส่วนตัว

.

งานที่เหมาะกับ นักจัดการกลุ่มนี้คือ งานที่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ งานที่แสดงตัวต่อคนหมู่มากท คราวนี้ สิ่งที่ท่านต้องทำต่อไป คือ เลือกงานที่เหมาะกับตัวเอง

.

มุ่งไปยังจุดแข็งของตัวเอง

หากว่าตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งนักจัดการอยู่ พยายามรู้จักว่าตัวเองเก่งหรือถนัดด้านไหน มันจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง ซ้ำจะส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นและพลังงาน แสดงจุดแข็งออกมาให้เห็นว่า ท่านเป็นนักปฏิบัติ หรือมีความสามารถจัดระเบียบต่าง ๆ หรือมีความสามารถในการวิเคราะห์ หรือมีความสามารถอะไร ก็จะเป็นการหลีกเลี่ยงการได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัดได้ หรือถ้าตัวท่านได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัด ให้เลือกผู้ร่วมงานที่เก่ง ๆ ทำแทนหรือผู้ที่ไว้ใจได้ สุดท้ายหากท่านคิดว่าบางสิ่งท้าทาย หรือเด่นทางผิด เพราะเกิดความกดดันมากเกินกว่าตัวเองจะรับและสู้ไหว ทางเดียวก็คือ เปลี่ยนงานเสียเกิด

.

ในการวิเคราะห์ เพื่อที่จะรู้สึกตัวเองและพร้อมที่จะเลือกอาชีพและชีวิตของตัวเองได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาอย่างง่าย ๆ มันไม่ใช่แค่การตอบคำถาม รวมพวกคะแนนและการสรุปผลให้เรียบร้อยแค่นั้น การรู้จักตัวเองอย่างที่นักปราชญ์ต่าง ๆ เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันตลอดชีวิต ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ ถ้าถามตัวท่านเองเกี่ยวกับความต้องการของตัวเอง เป็นคนประเภทไหน มีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ค่านิยมของท่านคืออะไร เป็นเพียงการเริ่มต้น ท่านต้องพยายามพัฒนาการล่วงรู้พฤติกรรมและทัศนคติของท่านต่อแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตและงานทุกวัน

.

ในที่สุด การรับรู้และการไวต่อความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดเองว่า ท่านในฐานะผู้จัดการ/หัวหน้างาน จะมีความสามารถในการกระตุ้นมอบหมายงานลงโทษ ต่อรอง สื่อสารและปฏิบัติงานด้านการจัดทั้งหมดอื่น ๆ ได้หรือไม่เพราะว่าชีวิตเหมือนกระแสน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่น้ำหยุดนิ่งในบ่อ ท่านควรจะรู้ว่าตัวเองถูกท้าทายตลอดเวลาทั้งทางร่างกาย ทางความคิด และทัศนคติ ดังนั้น การทำตัวให้ทันสมัยและขจัดความคิดที่ว่าท่านเหมาะสมกับงานนั้นอยู่แล้วจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ท่านควรทำงบดุลส่วนตัวไว้ดู เขียนออกมาเป็นรายการว่าท่านมีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน ท่านให้ค่าแก่อะไรบ้าง และต้องการอะไร จากนั้นก็ทบทวนงบดุลนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ ทุก ๆ ปี หนึ่งสองปี เพื่อดูว่าท่านเจริญก้าวหน้าไปถึงไหน ยกตัวอย่างว่า ในช่องลูกหนี้ เขียนว่า เอาเรื่องอื่นมาใส่ใจมากไป และมีความกดดันมากไปและเมื่อกลับมาทบทวนอีกหนึ่งปีให้หลัง

.
ท่านอาจประหลาดใจว่า ทำไมเคยคิดว่านั้นเป็นปัญหา
.

เตรียมพร้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่ท่านรู้ดีขึ้นแล้วว่าจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองอยู่ตรงไหน ให้มุ่งไปที่จุดแข็งของตัวเอง ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ถ้าท่านใช้จุดแข็งของท่านอย่างเต็มที่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยจุดอ่อนของตัวเองไป มันต้องแก้ไข ผู้จัดการส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ที่มีความสามารถ ในทักษะการจัดการต่าง ๆ ได้จากความพยายาม การพัฒนา และจากประสบการณ์ที่มี สุดท้าย ตระหนักอยู่เสมอว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตคนอาจจะทำงานอยู่กับบ้าน มีเวลาว่าง และการแบ่งงานที่ทำมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนเป็นส่วนหนึ่งของโลกอนาคต จงเตรียมพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง

.

เผชิญหน้ากับอนาคต

สิ่งหนึ่งที่ท่านควรรู้ คือ มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานอะไรบ้างในชีวิต ที่จะมีผลกระทบต่อตัวท่านและงาน และจงเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวตาม

.

เริ่มต้น หลังจากจบจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ท่านมักจะมีความพร้อมและกระตือรือร้นที่จะหาเงินเพื่อมาจ่ายค่าใช้จ่ายและกิจกรรมยามว่างต่าง ๆ ท่านอาจจะมีความเชื่อมั่นมากและมีไฟในการทำงานเพราะยังไม่เคยประสบกับความล้มเหลวมาก่อน สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญในชีวิตการทำงานของท่าน

.

ตั้งตัว หลังจากนั้น ประมาณอายุ 25 ถึง 30 ท่านจะเริ่มมองสิ่งต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากงานตามอารมณ์หรือความชอบส่วนตัว งานของท่านดูไม่ตื่นเต้นเหมือนกับที่เคยเป็น ท่านเริ่มวางรากฐานความมั่นคงทางด้านการเงินและเริ่มมองหาคู่มาร่วมชีวิตและร่วมซื้อบ้าน และมันก็เป็นช่วงที่ท่านเริ่มมองหางานใหม่เช่นกัน

.

สร้างความเป็นปึกแผ่น ช่วงอายุ 20 กว่า ๆ ถึง 30 กว่า ๆ งานของท่านกำลังดำเนินไปได้ด้วยถึงแม้จะมีการเปลี่ยนงานบ้างก็ตาม ท่านอาจอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านที่ซื้อเอาไว้ ความต้องการความมั่นคงมีสูงมากถึงแม้ท่านจะได้เลื่อนตำแหน่งแต่ก็มีบันได มีหลายขั้นที่ท่านจะขึ้นไปได้อีก ท่านอาจจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัว และท่านอาจพบว่างานของท่านกลายเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

.

ดำเนินต่อไป ท่านอาจจะพบว่าการมีเด็ก หมายถึง การไม่หลับไม่ได้นอนตอนกลางคืน และตามมาด้วยการมีเวลาทำกิจกรรมยามว่างน้อยลง มันยากที่จะแก้ไขและมีแรงกดดันจากที่ทำงานมาก ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่าน สามารถทำงานเบาขึ้นโดยการมอบหมายงานให้ผู้อื่นทำมากขึ้นได้หรือไม่ และจงแน่ใจว่าท่านใช้ความสามารถพิเศษและจุดแข็งต่าง ๆ ของท่านแล้ว

.

ความวุ่นวายในช่วงกลางของชีวิต ผู้ชายและผู้หญิงในช่วงอายุ 40 กว่า ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลง ชีวิตที่ไม่ได้เลิศเลอ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวายระหว่างท่าน และคู่ของท่านท่านรู้สึกกระวนกระวายในความสำเร็จ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ชีวิตแต่งงานอาจจะตึงเครียด คู่สามีภรรยาอาจจะรู้สึกห่างกันในระหว่างนี้ ยกตัวอย่างสาวสังคมที่เคยชอบใช้จ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟือยรู้สึกห่างเหินจากสามี เพราะอยากใช้ชีวิตที่หรูราน้อยลง ขณะที่ผู้จัดการวัยกลางคนรู้สึกไม่พอใจกับงานที่ซ้ำซากจำเจ จึงพยายามหาสิ่งนาตื่นเต้นมาทดแทนโดยใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ถ้าท่านมีลูก ปัญหาการปรับตัวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของเขาและปัญหาในวัยกลางคนของท่านจะเพิ่มปัญหาภายในบ้านให้มากขึ้น

.

วางแผนสำหรับตอนเกษียณอายุ ถ้าท่านสามารถผ่านพ้นมรสุมในช่วงกลางของชีวิตมาได้ ท่านก็จะสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ ในตอนนี้ท่านมีหน้าที่การงานที่ดีในบริษัทและทำงานเต็มความสามารถ ท่านจะนึกถึงการเกษียณอายุบ่อยขึ้น ฉันจะจัดการอย่างไรดี ? ฉันจะเก็บเงินมากขึ้นดีไหม ? ฉันจะพยายามทำงานต่อไป หรือต่อรองกับฝ่ายบริหารดี? ฉันจะมีงานอดิเรกทำฆ่าเวลาไหม หรือไม่มีอะไรทำ ?” ท่านจะเริ่มพิจารณาอาชีพของท่านและอะไรที่ท่านทำสำเร็จและไม่สำเร็จ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแผนที่ทางเดินชีวิตของเราส่วนใหญ่ ตอนนี้ ท่านเดินมาถึงตรงไหนของแผนที่นี้แล้ว และเตรียมตัวเพื่อมีความสุขกับชีวิต และการทำงานหรือยัง การเป็นนักจัดการที่ประสบความสำเร็จ ต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อนครับ

.

ท่านเหมาะที่จะทำหน้าที่หัวหน้างานหรือไม่

เป็นคำถามที่ดูเหมือนว่าจะแทงใจผู้จัดการ/หัวหน้างานหลายคน แม้ว่าท่านจะรู้และหาพบแล้วว่าท่านเป็นคนประเภทไหนใน 4 ประเภทข้างต้นแล้ว มันก็ไม่แน่ว่าท่านจะชอบบทบาทการเป็นผู้จัดการหรือหัวหน้างาน หรือทำมันได้ดี ค่านิยมของแผนทางเดินในการทำงานปัจจุบัน คือ การก้าวไปสู่หน้าที่ผู้บริหาร เมื่อท่านทำงานเฉพาะด้านในตำแหน่งผู้ปฏิบัติ ค่านิยม การให้ผลตอบแทนสำหรับผู้ทำงานเป็นผู้จัดการ/หัวหน้างาน เป็นสิ่งดึงดูดให้เรา ๆ ทั้งหลายเดินเข้าหาภาระอันหนักนี้

.

ค่านิยมการมีชีวิตอยู่อย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เป็นสิ่งกระตุ้นให้เราวิ่งเข้าหามัน โดยที่ลืมมองตัวเอง ว่าที่จริงแล้วตัวเราสามารถทำงาน หรือเหมาะกับงานผู้จัดการ/หัวหน้างานได้ดีเพียงไร และแรงผลักดันเหล่านี้ ทำให้องค์กรจำนวนมากต้องผลักพนักงานที่ดี ไปเป็นหัวหน้างานที่เลว และสุดท้ายลงเอยด้วยการต้องให้ออกจากงานไป โดยที่องค์กรเองก็ไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรได้ จากการที่ต้องทุ่มค่าใช้จ่ายไปมากมาย เพื่อสร้างพนักงานที่มีศักยภาพขึ้นมาสักคน ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ตัวผู้ที่เจอกับสภาพนั้น จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับฝันร้ายเหล่านี้ โดยคิดว่าเป็นความล้มเหลวของตัวเอง และหาทางแก้ไขไม่ได้

.

แบบคำถามต่อไปนี้ ให้ถามตัวท่านเอง และตอบอย่างตรงไปตรงมาครับ

.

ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ คือใช่ ท่านควรยอมรับความจริงว่า ตัวเอง ไม่เหมาะกับภาระหน้าที่ของ ผู้จัดการ/หัวหน้างาน น่าจะลองมองหางานที่ทำแล้วมีความสุขจะดีกว่า อย่าแปลกใจ หากสุดท้ายพบว่าตัวเอง ไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการ/หัวหน้างาน เพราะยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ การเป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญ จนเป็นที่นับถือของใคร ย่อมจะมีความสุขกว่าการเป็นหัวหน้างานที่มีแต่คนคอยตำหนิ ทั้งจากผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้บริหาร

.

อยู่กับความเป็นจริงและความเป็นตัวเอง

การทำงานเป็นทีม เป็นสิ่งที่จำเป็นในสังคมปัจจุบัน ทีม ที่ประกอบด้วย ผู้ที่มีความสามารถในแต่ละด้าน และผู้ที่มีความถนัดแต่ละด้านนั้น น่าจะมีความสุขกับหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เราที่มาจากที่ต่าง ๆ กันรวมกลุ่มกัน และเรียกสถานที่ที่เรารวมกันว่า บริษัทดังนั้น บริษัท คือสถานที่ที่เราเอาความสามารถมารวมกันสร้างผลผลิต เพื่อจำหน่าย และแบ่งผลประโยชน์ที่ได้ร่วมกัน ใครที่ถนัดในหน้าที่ต่าง ๆ เช่น งานการออกแบบ งานการวางแผน งานการผลิต งานการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และรวมไปถึงงานการควบคุมบังบัญชา ให้ทำงานประสานกันเพื่อให้การทำงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น หรือเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็น่าจะทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่

.

ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี ที่เราจะละทิ้งงานที่เราถนัด ทำแล้วมีความสุขไปแย่งงานคนอื่น ๆ ที่เราก็ไม่ถนัด และไม่แน่ใจว่าจะทำได้ดีหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ เป็นที่หลงลืมกันไปเสียแล้วในกลุ่มที่รวมกันเป็น ทีม ในปัจจุบัน ถ้าท่านได้ถามตัวเองมาแต่ต้น และสรุปได้ว่าท่านเหมาะกับการทำหน้าที่หัวหน้างาน ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้จัดการ/หัวหน้างานผู้ที่รู้จักตัวเอง ท่านผ่านด่านแรกที่สำคัญแล้ว และพร้อมที่จะปรับปรุงการทักษะด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเป็นหัวหน้างาน ในเรื่องอื่น ๆ ต่อไปครับ