การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเวียตเจ็ทประจำปี 2018 โดยคณะกรรมการบริษัทเวียตเจ็ทกรุ๊ป (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์: VJC) มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นกว่า 91.74% เข้าร่วมประชุม และมีการอนุมัติในประเด็นส่วนใหญ่ที่เสนอให้พิจาณาในที่ประชุมสามัญครั้งนี้
รายงานการดำเนินงานโดย นายลิว ดึก แข็ง กรรมการผู้จัดการสายการบินเวียตเจ็ท ในนามของคณะกรรมการฝ่ายบริหาร ระบุว่าบริษัทประสบความสำเร็จทุกด้านในปี 2017 ที่ผ่านมา
ความสำเร็จของเวียตเจ็ทในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยการรับมอบเครื่องบินใหม่ 17 ลำ หนึ่งในนั้นเป็นเครื่องบินแอร์บัส A321 Neo ลำแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้เวียตเจ็ทครองต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจการบินของภูมิภาค และมีอัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.66% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของฝูงบินรุ่นแอร์บัส A320/321
ด้วยการขยายเส้นทางบินภายในประเทศเวียดนาม รวมถึงจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในแถบเอเชียเหนือ ทำให้เวียตเจ็ทเป็นผู้ดำเนินงาน 38 เส้นทางบินภายในประเทศเวียดนามและ 44 เส้นทางบินระหว่างประเทศ เชื่อมโยงสู่มหานครและเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากกว่าครึ่งของโลก สายการบินให้บริการเที่ยวบินอย่างปลอดภัยแล้วกว่า 98,805 เที่ยวบิน ด้วยจำนวนผู้โดยสารราว 17.11 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2016 ราว 22%
นอกเหนือจากจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินเช่าเหมาลำระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนเที่ยวบินก็มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างสัมพันธ์กัน ทำให้เวียตเจ็ทสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างดี โดยงบการเงินรวมที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีของปี 2017 ระบุว่าเวียตเจ็ทมีรายได้ 42,303 พันล้านดอง (58.75 พันล้านบาท) โดยมีผลกำไรหลังหักภาษีที่ 5,073 พันล้านดอง (7.04 พันล้านบาท) โดยมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2016 ที่ 54% และ 73% ตามลำดับ กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 11,356 ดอง (15.76 บาท)
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2017 เวียตเจ็ทเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ โดยคณะกรรมการบริษัทให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินงานตามมาตรฐานสากล ทั้งในด้านบรรษัทภิบาล การบริหารจัดการ และความโปร่งใสด้านข้อมูล
ผลการดำเนินธุรกิจที่เป็นบวก ทำให้คณะกรรมการบริษัทได้ยื่นเรื่องและได้รับอนุมัติจากบรรดาผู้ถือหุ้นให้เพิ่มการจ่ายปันผลของปี 2017 จาก 50% เป็น 60% ซึ่งบริษัทจะจ่ายล่วงหน้าเป็นเงินปันผล 30% และจะจ่ายเงินปันผลอีก 10% ในวันที่ 25 พฤษภาคม โดยอีก 20% จะจ่ายเป็นหุ้นปันผล
สำหรับปี 2018 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 50,970 พันล้านดอง (70.74 พันล้านบาท) และกำไร 5,800 พันล้านดอง (8.05 พันบ้านบาท) โดยรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2017 ที่ 20.5% และ 10% ตามลำดับ โดยคณะกรรมการบริษัทได้ยื่นเรื่องและได้รับอนุมัติจากบรรดาผู้ถือหุ้นให้เพิ่มการจ่ายปันผลของปี 2018 อยู่ที่ 50%
ตลาดการบินของเวียดนามและเอเชียจะยังคงเติบโตอย่างเข้มแข็งในปี 2018 เมื่อเศรษฐกิจมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา และรัฐบาลยังคงส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เป็นภาคธุรกิจหลัก ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนสู่เวียดนาม ด้วยการขยายเส้นทางและเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศสู่ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย ทำให้เวียตเจ็ทกลายเป็นสายการบินข้ามพรหมแดนต้นแบบที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์และความสามารถในการแข่งขัน
งบการเงินรวมที่ผ่านการตรวจสอบบัญชี (หน่วยดอลลาร์สหรัฐ โดยอาจเปลี่ยนแปลงตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน)
จากข้อมูลงบการเงินรวมที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีปี 2017 ของเวียตเจ็ทกรุ๊ป มีผลกำไรหลังหักภาษีที่ 230.63 ล้านดอลล่าร์ (7,286.76 ล้านบาท) รายได้สุทธิอยู่ที่ราว 1.92 พันล้านดอลลาร์ (60.66 พันล้านบาท) แสดงให้เห็นว่าผลกำไรเพิ่มขึ้น 150% จากที่เป้าไว้ในปี 2017 และเพิ่มขึ้น 103% ของปีที่ผ่านมา
การจัดสรรผลกำไรแก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 230.59 ล้านดอลลาร์ เท่ากับเพิ่มขึ้น 103.3% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2016 และ 150% เมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่บริษัทกำหนด โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.52 ดอลลาร์ (15.80 บาท) เพิ่มขึ้น 73% จากปีที่ผ่านมา
ข้อมูลผลเงินกำไรก่อนการจัดสรร ของเวียตเจ็ทเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2017 อยู่ที่ 264 ล้านดอลลาร์ (8,341.09 ล้านบาท) ซึ่งก่อนหน้านั้น บริษัทได้เพิ่มอัตราการจ่ายปันผลจาก 50% เป็น 60% โดยบริษัทได้จ่ายล่วงหน้าเป็นเงินปันผล 30% และวางแผนจะจ่ายอีก 30% ในรูปของหุ้นปันผล แต่ด้วยผลกำไรที่สูงขึ้นและเงินสดที่มีตามที่กล่าวในข้างต้น ทำให้คณะกรรมการบริษัทยื่นเรื่องในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เปลี่ยนเป็นการจ่ายเงินปันผลอีก 10% โดยอีก 20% จะจ่ายเป็นหุ้นปันผล ซึ่งการจ่ายปันผลในอัตราสูงนี้ถือเป็นธรรมเนียมที่เวียตเจ็ทปฏิบัติมาอย่างยาวนาน