เนื้อหาวันที่ : 2018-02-27 17:31:02 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1471 views

เอปสันฟันธง 3 ปีอิงค์เจ็ตสร้างมาตรฐานใหม่การพิมพ์ในออฟฟิศ พร้อมประกาศเดินหน้ารุกตลาดธุรกิจ รักษาระดับเติบโตต่อเนื่อง

 

เอปสันฟันธงอีก 3 ปีอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ครองสัดส่วนเกิน 3 ใน 4 พรินเตอร์สำหรับองค์กรธุรกิจ พลิกขึ้นเป็นมาตรฐานใหม่ของการพิมพ์เพื่อธุรกิจแทนที่เลเซอร์พรินเตอร์ พร้อมประกาศเดินหน้ารุกตลาดองค์กรธุรกิจ รักษาระดับการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2561 เอปสันตั้งเป้าเติบโตรวม 7% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยที่ 5% ตลาดต่างประเทศ 15% โดยธุรกิจหลักที่บริษัทโฟกัสประกอบด้วยอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กร ขนาดใหญ่ เลเซอร์โปรเจคเตอร์ และหุ่นยนต์แขนกล จากการแถลงข่าวสัญจรเพื่อแถลงผลประกอบการประจำปี 2017 และเผยทิศทางธุรกิจประจำปี 2018 ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมืองมรดกโลกดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม ภายใต้ชื่องาน “It’s in the Details ตอบโจทย์...ด้วยทุกรายละเอียด” เมื่อเร็ว ๆ นี้

มร.โตชิมิตสุ ทานากะ กรรมการผู้จัดการ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) บริษัท เอปสัน สิงคโปร์ จำกัด เปิดเผยว่าทุกธุรกิจของเอปสันสามารถสะท้อนถึงความใส่ใจในทุกเรื่องรายละเอียดและนวัตกรรม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เอปสันภูมิใจอย่างมาก จุดแข็งที่ไม่ซ้ำใครของเอปสันคือโมเดลธุรกิจแบบบูรณาการในแนวดิ่ง ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบเทคโนโลยีหลัก การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนถึงการผลิตสินค้าด้วยตัวเอง แนวทางดังกล่าวช่วยให้บริษัทได้รับรู้ถึงความคิดเห็นของลูกค้า ยิ่งทำให้เอปสันมองเห็นถึงรายละเอียดมากยิ่งขึ้นสำหรับการพัฒนาสินค้า การวางแผนการผลิตและให้บริการลูกค้าต่อไป
“ในปีงบประมาณ 2560 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีการใช้งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาราว 5.4 หมื่นล้านเยน คิดเป็น 5.2% ของรายได้ประมาณการตลอดทั้งปีหรือเท่ากับว่าทุก ๆ วันเอปสันได้ลงทุนทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้วยงบประมาณถึง 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ความพยายามดังกล่าวยังส่งผลให้เอปสันได้รับเลือกจาก Clarivate Analytics ให้ติด 1 ใน 100 ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลกของปี 2560 และยังเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน ด้วยเหตุนี้เอปสันจึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ที่เรียกว่า Epson 25 โดยตั้งเป้าให้ปี 2025 (พ.ศ.2568) เป็นปีที่เอปสันจะสามารถสร้าง Connected Age หรือยุคแห่งการเชื่อมโยงคน สิ่งของ และข้อมูลเข้าด้วยกันผ่าน 4 เทคโนโลยีของเอปสันที่ทรงประสิทธิภาพ แม่นยำ และมีขนาดกะทัดรัด ได้แก่ พรินเตอร์ อุปกรณ์สื่อสารทางภาพ อุปกรณ์สวมใส่ติดตัว และหุ่นยนต์ ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมาทั้ง 4 กลุ่มเทคโนโลยีได้ช่วยกันขับเคลื่อนธุรกิจของเอปสันให้เติบโตได้ด้วยดี บริษัทคาดการณ์ว่าธุรกิจโดยรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 9% ในปีงบประมาณ 2560 และจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในอีก 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 7%” มร.ทานากะยืนยัน

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไปด้านการขายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2017 ว่าบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ตามเป้าที่ 7% โดยแบ่งเป็นตลาดประเทศไทยเอปสันทำรายได้เติบโต 6% ส่วนตลาดต่างประเทศภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และปากีสถาน มีผลประกอบการรวมกันเพิ่มขึ้น 14%
“สำหรับประเทศไทยกลุ่มผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ 7% ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 46% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้อิงค์เจ็ตพรินเตอร์แบบตลับหมึกและเลเซอร์พรินเตอร์ขาวดำรุ่นเล็กมาใช้อิงค์แท็งค์พรินเตอร์แทน เพราะต้องการประหยัดต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่น ต้องการพิมพ์สี และพิมพ์ในปริมาณสูงขึ้น โดยเอปสันเป็นแบรนด์ Top of Mind ของผู้บริโภค เนื่องจากเราเป็นผู้ผลิตพรินเตอร์รายแรกที่นำอิงค์แท็งค์พรินเตอร์ออกวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2553 และดำรงความเป็นผู้นำตลาดมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีรุ่นผลิตภัณฑ์มากกว่าคู่แข่ง จึงได้รับการยอมรับในเรื่องประสิทธิภาพและความทนทาน” นายยรรยงกล่าว
ในกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์เองมียอดขายเติบโตขึ้น 6% ยังครองตำแหน่งเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมถึง 46% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทสามารถจำหน่ายเครื่องระดับกลางและระดับบนได้มากขึ้น ผนวกกับมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่และทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ระดับมืออาชีพสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้น 9% เนื่องจากธุรกิจโฟโต้แล็บมีการขยายตัวอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ระบบดิจิทัลกันมากขึ้นเพื่อรองรับทุกประเภทงานพิมพ์ได้อย่างครบวงจร ปัจจุบันมีมากกว่าโฟโต้แล็บจำนวน 650 แห่งทั่วประเทศใช้พรินเตอร์ของเอปสันรวมมากกว่า 1,000 เครื่อง ผลิตภัณฑ์ที่เติบโตสูงสุดสำหรับตลาดในต่างประเทศคืออิงค์แท็งค์พรินเตอร์ที่ขยายตัวถึง 70% เนื่องจากตลาดเริ่มให้การยอมรับข้อได้เปรียบของอิงค์แท็งค์พรินเตอร์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ตามมาด้วยโปรเจคเตอร์ที่เติบโตขึ้น 43% โดยมีตลาดสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจเป็นตลาดสำคัญที่เริ่มนำเครื่องระดับกลางและระดับบนไปใช้มากขึ้น นอกจากนี้เอปสันยังเดินหน้าสร้างตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“หากพิจารณาจากจำนวนพรินเตอร์ทั้งหมดที่จำหน่ายในปี 2560 กว่า 1.3 ล้านเครื่อง พบว่า 78% อยู่ในองค์กรธุรกิจ 22% ในตลาดคอนซูเมอร์ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองตลาดอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่อยู่ โดยปริมาณความต้องการใช้เลเซอร์พรินเตอร์ในตลาดธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับยอดขายของอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น เอปสันจึงเชื่อว่าภายใน 3 ปีจากนี้หรือปี 2563 อิงค์เจ็ตพรินเตอร์จะขึ้นมาเป็นมาตรฐานการพิมพ์ใหม่ขององค์กรธุรกิจอย่างแน่นอน ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 75% หรือ 3 ใน 4 ของพรินเตอร์ทั้งหมดในตลาดองค์กรธุรกิจ” นายยรรยงให้ความเห็น
อนึ่ง เอปสันได้พลิกโฉมวงการพรินเตอร์ครั้งแรกในปี 2553 หลังจากเปิดตัวอิงค์แท็งค์พรินเตอร์รุ่น L-Series ต่อมาใน ปี 2558 เอปสันได้เปิดตัวพรินเตอร์ระบบชุดหมึกถอดเปลี่ยนได้ ล่าสุดในปี 2560 ได้เปิดตัวอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กรขนาดใหญ่รุ่น WorkForce ที่ใช้หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซรุ่นใหม่ PrecisionCore Line Head ที่ให้ประสิทธิภาพงานและคุณภาพทัดเทียมเลเซอร์พรินเตอร์ ความต่อเนื่องในการออกวางตลาดอิงค์แท็งค์พรินเตอร์มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้ คุ้นเคย เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับข้อด้อยต่างๆ ของอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ในอดีตจนหมดสิ้น เอปสันยังคงออกผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการด้านการพิมพ์ในธุรกิจทุกขนาด
กลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ไฮไลต์ในปี 2561 จะอยู่ที่เลเซอร์โปรเจคเตอร์ที่มีทั้งความทนทานใช้งานได้นาน ถึง 20,000 ชั่วโมง ทั้งยังใช้ LCD Panel และ Phosphor Wheel แบบ Inorganic ที่ทนความร้อนสูงได้นาน ทำให้สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยฉายภาพสวยสดใส คุณภาพไม่ตก มีประสิทธิภาพในการฉายภาพระดับ 4K ด้วย Contrast Ratio หรือความต่างระหว่างสีดำและสีขาวสูง สามารถแสดงภาพที่มีความลึกและรายละเอียดภาพ รวมถึงแสดงภาพแบบ 3 มิติได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถติดตั้งได้แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเอียงไปมุมไหน ความสว่างของภาพก็ไม่ลดลง ฉายบนพื้นผิวหลายรูปแบบ เช่น ฉากโค้ง เข้ามุม เชื่อมการฉายภาพหลายเครื่องแบบไร้รอยต่อหรือ Edge-blending มีคุณสมบัติ Quick Corner และ Point Correction ปรับภาพฉายให้ลงตัวตามสัดส่วนของฉากรับภาพอย่างแม่นยำ ซึ่งมีแนวโน้มได้รับความนิยมสูง ทางเอปสันกำลังเพิ่มจำนวนรุ่นจนครอบคลุมเครื่องความสว่างระดับกลางที่ 5000 ลูเมน จากเดิมที่มีแต่เครื่องระดับบน โดยมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 5 รุ่นในทุกช่วงระดับความสว่าง 2,000 ลูเมนสำหรับลูกค้าในธุรกิจร้านค้าขนาดเล็กหรือใช้ตามบ้าน 4,000-6,000 ลูเมนสำหรับสถาบันการศึกษาและองค์กรธุรกิจ 6,000 ลูเมนขึ้นไปเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ ต้องการภาพขนาดใหญ่ที่มีความสว่างและความละเอียดของภาพสูง เช่น ห้องจัดเลี้ยง หอประชุม โรงละคร พิพิธภัณฑ์ หรืองานอีเวนต์เอาต์ดอร์
ผลิตภัณฑ์กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มหุ่นยนต์แขนกล ด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลทำให้หลายอุตสาหกรรมตื่นตัวในการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ในสายการผลิตเพื่อเพิ่มผลิตผล ปรับปรุงคุณภาพ ลดต้นทุน พัฒนาศักยภาพการทำงาน มีการคาดการณ์ว่าภาคการผลิตของไทยราว 50% จะเริ่มใช้งานหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติภายใน 1-3 ปี ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางจะพร้อมในอีก 3-5 ปี เอปสันได้เริ่มนำหุ่นยนต์แขนกล SCARA Robot และ 6-Axis Robot ที่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ใช้งานในพื้นที่จำกัดได้ดีเพราะมีขนาดกะทัดรัดเข้ามาทำตลาด โดยเฉพาะ 6-Axis Robot เป็นแขนกล 6 แกนหมุนอิสระ ทำงานได้ใกล้เคียงกับแขนคน มีความยืดหยุ่น มีระบบควบคุมการเคลื่อนไหว ช่วยลดความสั่นสะเทือนและเข้าถึงตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว มีระบบ Vision ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้และแยกแยะประเภทวัตถุ ตรวจสอบคุณภาพและรับรู้ตำแหน่งวัตถุ หุ่นยนต์จะหยิบจับหรือประกอบชิ้นงานได้ถูกต้องยิ่งขึ้น โดยตลาดเป้าหมายของเอปสันอยู่ที่กลุ่มโรงงานผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2561 เอปสันยังคงยึดแนวทางในการทำธุรกิจที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจเป็นหลัก พร้อมนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจตั้งแต่ขนาดเอสเอ็มอีจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยกำหนดกลยุทธ์เอาไว้ 4 ด้าน ได้แก่ Customer Solutions คือการรวมเทคโนโลยีของเอปสันเข้าด้วยกัน ออกแบบเป็นโซลูชันเพื่อรองรับธุรกิจของลูกค้าแต่ละราย โดยพิจารณาจากประเภทธุรกิจ กระบวนการ และขั้นตอนการทำงาน รวมถึงเป้าประสงค์ทางธุรกิจของลูกค้าเพื่อให้โซลูชันของเอปสันสามารถสนับสนุนการทำงานได้อย่างลงตัวไม่สะดุด กลยุทธ์ที่ 2 คือ Customer Values พิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นถึงคุณค่าทุกด้านที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเอปสัน อาทิ คุณค่าด้านคุณภาพ ความคุ้มค่าในการลงทุน ความน่าเชื่อถือ หรือการประหยัดพลังงาน กลยุทธ์ที่ 3 คือ Convenience Channel ได้แก่ การขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมตลาดเป้าหมาย รวมถึงช่องทางจำหน่ายเฉพาะทางสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น แว่นตาอัจฉริยะ หุ่นยนต์แขนกล กลยุทธ์สุดท้ายคือ Communications กลยุทธ์ด้านการสื่อสารที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมสามารถจดจำแบรนด์และคุณค่าด้านต่าง ๆ ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมการตลาด
“นอกจากนี้เอปสันทั่วภูมิภาคเอเชียยังได้ออกแคมเปญสื่อสารการตลาด It’s In The Details ขึ้นมาเพื่อสอดรับการดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ Epson 25 โดยเอปสันต้องการตอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกค้าองค์กรธุรกิจว่าผลิตภัณฑ์เอปสันมีประสิทธิภาพและดีพร้อมในการเชื่อมโยงผู้ใช้ เทคโนโลยี และข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เอปสันออกแบบพัฒนาและผลิตทุกชิ้นส่วนด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด ผลิตภัณฑ์ของเอปสันจึงสามารถทำงานให้กับองค์กรของลูกค้าได้อย่างดีที่สุด ซึ่งภายใต้แคมเปญนี้เอปสันได้ทำ Brand Activation ถ่ายทอดเรื่องราวของรายละเอียดในเทคโนโลยีหลักของบริษัท เช่น PrecisionCore Line Head หรือ 3 LCD Laser Light Source ผ่านสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความคุ้มค่าเมื่อเลือกลงทุนกับเอปสัน” นายยรรยงกล่าวถึงแคมเปญนี้

นายอนันต์พล นนทพันธุ์ ผู้จัดการทั่วไปด้านการบริการและบริหารองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้ายสุด) เปิดเผยถึงงานด้านการบริการว่าเอปสันมีการพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า โดยล่าสุดบริษัทได้มีการนำระบบ CRM แบบบูรณาการหรือ Service CRM Integrate System ซึ่งประกอบด้วย Call Center Management ที่นอกจากจะตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และรับเรื่องจากลูกค้าแล้ว ยังรวบรวมข้อมูลคำถามและความสนใจด้านต่าง ๆ ของลูกค้าไว้เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นความรู้ในระบบ Integrated Knowledge Management โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบต่าง ๆ เพื่อใช้กำหนดรูปแบบงานบริการด้านต่าง ๆ ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละประเภท ทั้งด้านการรับประกันและการเคลม การบริการ ซ่อมแซม รวมถึงการตรวจซ่อมหน้างาน
เอปสันยังได้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ณ จุดสัมผัสบริการจุดแรก (First Touch Point Services) โดยจะมีทีมช่างเทคนิคที่พร้อมจะเข้าระบบ Service CRM Mobile ทันทีเพื่อทำการวิเคราะห์วินิจฉัยอาการเครื่องแบบเรียลไทม์จากระยะไกลไปพร้อมกับการตรวจสอบเครื่องหน้างานของช่างจากศูนย์บริการทั้ง 147 แห่งทั่วประเทศ ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะได้รับการแก้ปัญหาที่ตรงจุด หลีกเลี่ยงการเสียค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา ทั้งยังสามารถทราบถึงการดูแลในลำดับต่อไป หรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ธุรกิจทุกประเภททั้งพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม โปรเจคเตอร์ พรินเตอร์ดอทเมทริกซ์ พรินเตอร์ใบเสร็จ อิงค์เจ็ตพรินเตอร์รุ่น WorkForce เอปสันยังได้จัดเตรียมชิ้นส่วนอะไหล่และเครื่องสำรองพร้อมที่จะส่งไปให้บริการทันทีในกรณีที่เครื่องลูกค้าต้องใช้เวลาซ่อมนานกว่า 3 วัน ทั้งยังมีโปรแกรมขยายระยะประกันสินค้าหรือ Cover Plus ที่ช่วยให้ลูกค้าอุ่นใจยิ่งขึ้นจากการรับประกันของเอปสัน
“วิสัยทัศน์ Epson 25 ที่โฟกัสยังองค์กรธุรกิจที่เป็นตลาดมูลค่าสูงเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานผลิตภัณฑ์เอปสันอย่างเต็มประสิทธิภาพ และใช้ในปริมาณมาก ทำให้บริการหลังการขายเป็นสิ่งที่ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก เอปสันมีโปรแกรมพัฒนาทักษะวิศวกรของบริษัทและของพาร์ตเนอร์อย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้ปัจจุบันเอปสันมีทีมช่างที่มีความสามารถสูง รู้จักและเข้าใจเทคโนโลยีของเอปสันเป็นอย่างดีกระจายอยู่ทั่วประเทศ บริษัทจึงมั่นใจว่าลูกค้าองค์กรที่เลือกลงทุนกับเอปสันไม่เพียงแต่จะสามารถไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของเอปสัน แต่จะพอใจกับบริการที่ได้รับจากเราอีกด้วย” นายอนันต์พลกล่าวทิ้งท้าย